รีวิว Ice Castles (2010) รีเมคหนังคลาสสิกไอซ์สเกตจากผู้กำกับเดิมที่ก้าวข้ามต้นฉบับไม่ได้

by GleeGM · November 10, 2023

ice castles 2010 review

หนังรีเมคในรอบ 30 ปีที่ก้าวข้ามความขลังของภาคเก่าไม่ได้

หลังจากที่เคยอวยนักอวยหนาถึงหนังรักไอซ์สเกตสุดคลาสสิกอย่าง Ice Castle 1978 (รีวิว) ไว้ปี 2022 เราก็ไม่วายหาดูภาครีเมคตัว 2010 โดยหนังตัวนี้เป็นหนังที่ค่าย Sony ได้ติดต่อผู้กำกับคนเดิมอย่าง Donald Wrye ว่าอยากกลับมาทำไหม ซึ่งเค้าตอบตกลง และเป็นหนังเรื่องสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป

เมื่อมันเป็นรีเมคจากหนังอายุ 30 ปี พร้อมกับวิวัฒนาการของวงการฟิกเกอร์สเกตที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดประกอบกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในสามสิบปีที่ผ่านมา จึงต้องมีการปรับองค์ประกอบหลายๆ อย่างให้ทันสมัยแต่ยังคงอิงองค์ประกอบเดิม เช่นการแคสต์นักกีฬาไอซ์สเกตมาแสดงหนัง ซึ่งทางค่ายก็ไปพบเจอ Taylor Firth ที่กำลังแข่งขันในเวลานั้น (เจ้าตัวเล่าด้วยนะว่าได้รับ E-mail บทสัมภาษณ์คลิก จากทางค่ายแต่มันตกอยู่ในกล่องอีเมล์สแปม 5555)

สารบัญ

ความรู้สึกหลังดูจบ

เนื้อเรื่องหลักของหนังแทบจะก็อปวางจากของเก่าแต่แค่ปรับบางอย่างให้ทันสมัยขึ้นเฉยๆ เช่นฉากเปิดเรื่องก็ยังเป็นฉาก Lexie(นางเอก)สเกตในสระน้ำแข็งแถวบ้าน พร้อมกับชูโรงเพลงไม้ตายของเรื่องอย่าง Through the Eyes of love ซึ่งมันขยันใส่เพลงนี้มาจริงๆ ดูไป 10 นาที เปิดเพลงนี้มา 3 ครั้งแล้ว 5555 นอกเหนือจากนั้นยังมีดนตรีจากภาคต้นเช่น Scarlotti Suite ที่ใส่มาให้แฟนๆ หวนคิดถึงล่ะนะ แต่ถ้าถามว่าเสียงดนตรีมันเข้ากับโทนหนังในเรื่องที่ดูเป็นยุคปัจจุบันมั้ย มันก็ไม่ค่อยเข้าหรอก 55555

เปรียบเทียบเนื้อหาระหว่างภาคเก่าและใหม่

สิ่งที่โอเคในการปรับบทก็มีการปรับบทให้ Lexie กับ Nick ค่อยๆ ห่างเหินมากขึ้นแบบดูธรรมชาติ ในขณะที่ภาคแรกจู่ๆ ก็ห่างกันดื้อๆ ไปเลย และตัดบทรักต่างวัยในภาคแรกที่ชวนคนดูเคลือบแคลงระหว่างอายุนางเอกกับอายุนักพากย์ชายไปเรียบร้อย

ฉากเปรียบเทียบตอน Lexie ถูกโค้ชดุในภาคเก่าและใหม่

จุดต่อมาฉากที่ Lexie โดนโค้ชดุ ในต้นฉบับคือนางโดนเอ็ดเรื่องที่ซ้อมโดดหมุนตัวสามรอบ (กระโดดทริปเปิ้ล) ว่าทำไปทำไม มันแค่การโชว์โลดโผนเท่านั้น เอาไปชนะจริงไม่ได้ กรรมการไม่ชอบหรอกนะ ซึ่งการกระโดดทริปเปิ้ลเป็นองค์ประกอบท่าที่วงการในสมัยนั้นยังไม่ฮิตกระโดดแบบวงการสเกตในปัจจุบัน ตอนนี้เริ่มกระโดดสี่รอบกันแล้วด้วยซ้ำ ว่าไปแล้วก็เป็นตลกร้ายหน่อยๆ อยู่ล่ะนะพอมาอ่านประโยคของโค้ชแกในตอนนี้ 😅 ภาครีเมคเปลี่ยนให้โค้ชไม่พอใจ Lexie ตรงที่เธอเปลี่ยนคิวสเกตกลางโปรแกรม ไม่เหมือนที่นัดกันไว้ก่อนแข่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ครั้งคราวในการแข่งจริง ถือว่าปรับให้ร่วมสมัยดี จะปรับบทให้ว่านางฝึกกระโดดสี่รอบได้ก็จะดูโหดไปหน่อย 5555

การลำดับเนื้อเรื่องว่าทำไม Lexie ถึงอึดอัดในงานเลี้ยงแล้วออกมาสเกตข้างนอกแทนก็ดูเป็นธรรมชาติ แต่การตัดต่อจังหวะกระโดดล้มจนประสบอุบัติเหตุก็ตัดต่อได้ดูงบน้อย เล่นง่าย หมุนและล้มแบบงงๆ ไม่ชวนเชื่อไปหน่อย ถ้าเทียบกับภาคแรกที่ถ่ายได้ดูน่ากลัวกว่า (ถึงจะมีนักสเกตรีวิวฉากนี้ว่าฉากสะดุดสายไฟนี่มันเชื่อไม่ค่อยได้ก็เถอะ 5555)

ตอนหมอวินิจฉัยว่านางเอกจะมองไม่เห็น (ไม่บอดสนิท แต่ตามัว) ตัดต่อภาพได้สไตล์หนังทีวี ใส่ฉากซ้อนๆกัน+ปรับฉากให้โปร่งแสงจางๆ เข้าใจล่ะว่าผู้กำกับแกทำหนังทีวีมาตลอด คงติดการตัดต่อแบบนี้ แต่โอ้ มันสะดุดตาจนต้องทัก

บางสิ่งที่ตัดออกไปกลับกลายเป็นจุดอ่อนซะงั้น มีตั้งแต่การตัดบทฉากคุณป้า Beulah ซึ่งในภาคเก่ามีฉากปะทะอารมณ์กับ Lexie หลังประสบอุบัติเหตุ ในภาคนี้เอาออกไปเฉยเลย พ่อ Lexie ก็หาย ทำให้มิติตัวละคร Lexie หรือความชวนพูกพันในตัวละครมันดูจ๊างลง จางลงยิ่งขึ้นไปอีก

นักออกแบบท่าเต้นเบอร์ต้น ๆ และเบื้องหลังการถ่ายฉากสเกตสด

อีกจุดที่ถูกเนิฟคือการตัดต่อฉากสเก๊ตที่มุมกล้องขาดเสน่ห์จากภาคแรกไปมาก แม้ว่าเบื้องหลังจะบอกเล่าถึงการเชิญนักออกแบบท่าเต้นชั้นแนวหน้าอย่าง David Wilson, Sandra Bezic มาช่วยออกแบบให้ หรือการใช้เทคนิครถลากต่างๆ เพื่อให้ได้มุมมองแปลกใหม่ แต่ก็การเป็นว่ามันถูกตัดต่อให้ดูเป็นภาพยนตร์เกินไป เช่นบางจังหวะดึงฉากสเกตแบบสโลว์โมชั่นย๊าวยาวเป็นสิบวิเลย ทำทำม้ายยยย นานป๊ายยยย แถมตัดต่อมุมกล้องก็งงๆ แทนที่เราจะได้ดูฉากสเกตแบบเต็มก้านเต็มหน่วย ได้เห็นศักยภาพที่แคสนักสเกตมาแสดงซะหน่อย กลายเป็นว่าหลายๆ มุม ตัดกล้องไปมา กระโดดทีหัวก็แหว่งหลุดกรอบซะงั้น แถมเกรดสีโทนหนังให้อมฟ้าสุดๆอีก ซึ่งของเดิมนั้นได้ใช้มุมกล้องแบบตัดกล้องห่างๆ ทิ้งไว้เหมือนเราเป็นคนดูนั่งดูที่อัฒจันทร์อยู่ แล้วให้นักสเกตโชว์ฝีมือแบบเอาอยู่หมัดและรู้สึกว่ากำลังดูสเกตในสนามจริงๆ เข้าใจล่ะนะว่าผู้กำกับคงอยากเปลี่ยนทิศทางให้ไม่ซ้ำเดิม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามุมกล้องไม่ได้ผลักดันให้ฉากสเกตชวนว้าวตื่นตาเท่าไหร่นัก

นอกจากจะแกงฉากสเกตสดไปแล้ว ฉากสุดท้ายที่นางเอกสะดุดตุ๊กตากลางลานไอซ์(ของเก่าคือสะดุดกองดอกกุหลาบ) เสียงคนดูในสนามก็พึมพำซะฮือฮาบอกใบ้ให้คนดูหนังให้ไม่ต้องคิดต่อให้เหนื่อยเต็มๆ ภาคเก่าไม่ต้องใส่บทพูดอะไรใบ้คนดูเลย ให้ความเงียบๆ และภาพมันเล่าเรื่อง อาศัยนักแสดงออกท่าทาง + บรรยากาศเงียบๆ ซึ่งนั่นแหละก็ทำให้มันทรงพลังกว่าอย่างมาก

จุดเด่นของทั้งสองภาคที่ถ้านำมารวมกันก็คงดี

ถ้าหนังเอาจุดแข็งของทั้ง 2 ภาคมาอุดจุดอ่อนของกันและกัน มันจะเป็นที่สมบูรณ์ขึ้นกว่านี้เลย
– 2010 มีเลิฟไลน์และการปรับตัวของชีวิตนางเอกหลังอุบัติเหตุที่เล่าได้ไหลลื่นขึ้น
– ฉากสเกตฟินาเล่ไม่ต้องใส่เสียงฮือฮาคนดูมา ให้คนดูหนังเข้าใจบริบทเองแบบใน 1978
– ใช้ฉากสเก๊ตสดแบบแช่กล้องของ 1978 ไม่ต้องตัดต่อเยอะ ไม่ต้องใส่เอฟเฟกต์มาก เช่นฉาก CT Scan
– อยากได้ซีนทะเลาะเฉือนอารมณ์ระหว่างตัวละครแบบภาค1978

ฉากจบหนังปี 1978 ที่ทำได้รู้สึกอิ่มเอมกว่า

สรุปรีวิว Ice Castles 2010

Ice Castles 2010 หนังรีเมคจากหนังปี 1978 ไม่ถึงกับแย่ เป็นอีกเรื่องที่รีเมคไม่ได้เหนือกว่าต้นฉบับ พอดูได้ผ่านๆ สไตล์หนังทำลงแผ่น ปรับบทหลายส่วนให้ดูทันสมัย เลิฟไลน์เนียนขึ้นแม้จะเกาหัวแกรกๆ ในหลายฉาก เสียดายบางซีนอีโมเก่าๆ ที่ตัดทิ้ง ส่วนซีนสเกตสดโดนแกงพอตัวเพราะเน้นตัดต่อให้ดูเป็นมุมมองภาพยนตร์มากกว่าจะแช่กล้องให้นักแสดงโชว์สเกตสดไปเลย ตอนจบของเก่าทรงพลังกว่ามาก ดังนั้นหากจะดูทั้งทีก็ไปดูภาค 1978 ดีกว่าแต่ระหว่างดูก็ใส่ฟิลเตอร์สักนิดนึงว่าหนังมันเก่าแล้วนะ บริบทหลายๆ อย่าง ณ เวลานั้นต่างจากสมัยนี้มากๆ แล้ว

โดยตัวหนังได้สร้างมาตรฐานในระดับที่ว่าถ้าใครจะมารีเมคก็คงต้องทำการบ้านให้หนักหน่อยเพราะดัดแปลงดื้อๆ มาแบบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไปไม่รอดหรือสร้างรสชาติใหม่ให้คนดูยุคปัจจุบันรวมถึงบทหนังก็ออกไปทางแนวรักคลาสสิกแสนซื่อตรงที่เอามาขายในยุคนี้ก็ดูธรรมดาไปแล้ว เรามองว่าแนวทางที่เวิร์คคงเป็นการเอาองค์ประกอบสักอย่างของมันมาต่อยอดมากกว่า ไม่ใช่รีเมคออกมาทั้งยวงแบบนี้ ตัวอย่างดังเช่นภาพยนตร์ Chronicle ใช้องค์ประกอบหลาย ๆ อย่างจาก AKIRA จนคนดูรู้สึกว่ามันคือ AKIRA ภาคคนแสดงแหละนะ 5555