รีวิว สถาบันสถาปนา The Foundation เล่ม 1 [รีวิวความรู้สึกล้วนๆ ไม่มีประเด็นไซไฟ]

สถาบันสถาปนา the foundation isaac asimov book review รีวิว
ไตรภาค สถาบันสถาปนา ปกล่าสุด

รีวิว สถาบันสถาปนา เล่ม 1 (The Foundation) แต่งโดย ไอแซค อาซิมอฟ (Isaac Asimov) ในที่สุดเราก็มีวันนี้ (ทำเสียงแบบพิธีกรคลิปนางงาม) นิยายไซไฟระดับขึ้นหิ้งตำนาน ซีรีส์นี้มีแปลไทยมาเนิ่นนานแล้ว หลังจากนั้นได้ถูกตีพิมพ์ใหม่ออกมาเป็นปกดำใหม่สุดมินิมอลสวยงามมากขึ้น เนื้อหาข้างในน่าจะใช้คนแปลคนเดิม(คุณบรรยงก์)


เนื้อเรื่องโดยสังเขป

ชายคนหนึ่งเป็นนักจิตวิทยาชื่อ ฮาริ เชลดอน เขาได้ทำนายอนาคตของจักรวาลไว้ด้วยเทคนิคสูตรเลขสมการสักอย่าง และทำนายทายทักว่าในอนาคตจักรวาลนี้จะถึงคราวล่มสลาย(โหราศาสตร์ยูเรเนียนป่ะเนี่ย 5555) หนังสือเล่มแรกนี้แบ่งออกมาเป็น 5 องค์ด้วยกัน

องค์แรกเล่าเดินเส้นโฟกัสไปที่นายเชลดอนว่าการทำนายเรื่องการล่มสลายของเขาทำให้เกิดความสั่นคลอนระส่ำระส่ายในอาณาจักรถึงแม้ว่าจะระบุว่ามันอีก 1,000 ปีภายหน้านะ (นานขนาดนั้นยังสะดุ้งกัน) ว่าแล้วแกก็ถูกเรียกตัวไปขึ้นศาล ซึ่งแกนำเสนอแนวทางว่าถ้าไม่อยากให้ล่มสลายตามคำทำนาย ต้องอนุญาตให้เค้าจัดทำโครงการ สถาบันสถาปนา ซึ่งคล้าย ๆ กับสถาบันที่บันทึกประวัติศาสตร์ และตีพิมพ์นิตยสารบอกเล่าเหตุการ์ณ์ประวัติศาสตร์ เชลดอนระบุว่าวิธีการนี้จะทำให้เลี่ยงการล่มสลาย จบไปในองค์แรก

ในองค์ต่อ ๆ มาเนื้อเรื่องเปลี่ยนเฟสของตัวละคร โดยเชลดอนกลายเป็นตัวละครในอดีตไปที่ตัวละครในองค์ปัจจุบันหยิบยกมาพูดถึงคำทำนายของเขาเป็นครั้งคราว ตัวละครในแต่ละองค์มีตั้งแต่ นักการเมือง เชื้อพระวงศ์ กลุ่มพ่อค้า เราเห็นได้ชัดเจนว่าในองค์แรกนั้นเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งสถาบันสถาปนา ต่อมาเล่าถึงการแย่งชิงอำนาจด้วยอิทธิพลความเชื่อทางศาสนา การสับเปลี่ยนขั้วอำนาจระหว่างศาสนาเป็นทุนนิยม

จากที่อ่าน ๆ มา เนื้อเรื่องพอสะท้อนได้ว่า ต่อให้ชีวิตคนเราผ่านไปกี่ยุค นิสัยดิบเดิม ๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการขวนขวายแก่งแย่งพลังอำนาจ อยากรักษาตำแหน่งไม่ให้สิทธิ์เหล่านี้หลุดมือไป ยังคงแสดงอยู่ในสังคมมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย

หนังสือเล่มแรกหลัก ๆ มีประมาณนี้ สำหรับเราเลยนะ หนังสือมันเดินเรื่องแบบที่เดินเรื่องจริง ๆ ไม่ให้คนอ่านมีความรู้สึกผูกพันกับตัวละครใด ๆ ตัวละครผ่านมาแล้วผ่านไปราวกับตัวละครใช้แล้วทิ้ง เหมือนเรากำลังอ่านประวัติศาสตร์ของชาติ ๆ นึงเสียมากกว่า ไม่มีอารมณ์ร่วม อารมณ์เชียร์ตัวละครใด ๆ ไม่มีการสร้างภูมิหลังหรือความสัมพันธ์ตัวละครให้คนอ่านรู้สึกผูกพันเท่าที่ควร พิภพอวกาศนี้ออกจะกว้างใหญ่ แต่ไม่มีการเล่าถึง Worldbuilding หนัก ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ในหลาย ๆ วรรณกรรมจะสาธยายตรงนี้ออกมาหลายย่อหน้าจนบางทีก็รู้สึกเบื่ออ่าน 5555 แต่มันทำให้คนอ่านเข้าถึงโลกที่ตัวละครสมมุติอยู่อาศัยกันมากขึ้น ตัวหนังสือมีเกริ่นเพียงนิด ๆ เช่น พูดถึงว่าพิภพนี้มีการใช้พลังงานปรมาณู หรือมี 4 อาณาจักรหัวหลักที่ครองพิภพอยู่ แต่เป็นการบอกเล่าที่ผ่านมาผ่านไปเพราะเหมือนถูกเมนชั่นให้มีบทเป็นภาคบังคับที่ต้องเล่า แต่ผู้แต่งไม่ได้ลงรายละเอียดเพิ่มในส่วนนี้เลย ซึ่งเท่าที่หาข้อมูลมา เหมือน สถาบันสถาปนา จะถูกเขียนเป็นตอนสั้น ๆ ลงนิตยสาร จุดประสงค์ผู้แต่งอาจไม่ได้ตั้งใจเขียนให้เล่าเซตติ้งเต็มเล่นใหญ่เหมือนนิยายแฟนตาซีมหากาพย์สิบเล่มแบบที่เราเห็นในปัจจุบันก็ได้ (ถ้าแกตั้งใจเขียนเล่าเต็ม ๆ ทั้งปูพื้นตัวละคร ทั้งเซตติ้งอวกาศ สงสัยเราคงได้เห็นนิยายมหากาพย์ความยาวระดับ Wheel of Time ของลุง Robert Jordan ก็เป็นได้)



หลังจากอ่านเล่มนี้จบไป เราคงขอดรอปไม่ได้อ่านถึงเล่ม 3 ต่อให้จบครบไตรภาค แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังอยากรู้ว่าเนื้อเรื่องจะจบยังไง เลยแอบไปเปิดผ่านๆ มา 5555 เรื่องก็คือในช่วงท้าย ๆ ภาค มีปัจจัย ๆ นึงปรากฏตัวขึ้นมาทำให้อาณาจักรสามารถล่มสลายได้จริง ๆ และมันไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์(สมการ)ของนายเชลดอน ! ทว่าตัวละครหญิงตัวใหม่ชื่อ เบต้า เธอจะเข้ามาช่วยหยุดยั้งวิกฤติการณ์นี้ได้หรือไม่นะ ? ใครสนใจต้องไปอ่านต่อกันเองแล้วล่ะ

การแปลไทย

โดยคุณบรรยงก์ ต้องให้เครดิตเค้านะ หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์มานานแล้ว เราจึงไม่แปลกใจที่ภาษาในหลาย ๆ ส่วนนั้นเป็นภาษาที่เราไม่ค่อยเห็นในยุคปัจจุบันสักเท่าไร บางคำแปลสวยมากเช่น ภัสม์ธุลี โทษานุโทษ อนารยะ อึงคะนึง มะเทิ่ง บางคำเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันแปลอะไร 5555 เพิ่มคลังคำศัพท์ในหัวเราเพิ่มขึ้นเลย แต่ว่าคำศัพท์สวย ๆ เหล่านี้ก็เป็นเสน่ห์การแปลอย่างนึงนะ นอกนั้นจะเป็นสำนวนการพูดที่มันจะออกเป็นภาษาเขียน เช่น จากคำว่าเชียว -> เทียว ไม่ → ม่าย ไอ้ → อ้าย มีอุทานว่า บ๊ะ ด้วย อ่านแล้วได้บรรยากาศการแปลเก่า ๆ เหมือนกัน ซึ่งในส่วนนี้เราไม่ติดอะไรนะแต่ไปโดนหักคะแนนเพราะเรื่องการเดินเรื่องที่เล่าไว้ข้างบนเนี่ยแหละ 5555

สรุป

รีวิว สถาบันสถาปนา เป็นนิยายไซไฟที่สะท้อนชีวิตมนุษย์ในสังคมกึ่งการแสวงหา/รักษาอำนาจที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สมัย มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นวนเวียนเรื่อยไป เนื้อเรื่องบอกเล่าเรื่องราวของผู้ทำนายอนาคตว่าอาณาจักรอวกาศนี้กำลังจะล่มสลายแล้ว คล้าย ๆ กับนอสตราดามุสที่ทำนายว่าโลกจะแตกเนี่ยแล หนังสือในแต่ละองค์ค่อย ๆ ไล่ยุคไปว่าแต่ละยุคเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันเหมือนสิ่งที่เชลดอนได้ทำนายไว้ไหม แต่แล้วก็เกิดปัจจัยหนึ่งขึ้นมาที่อยู่นอกเหนือจากความคาดการณ์ของเชลดอนซึ่งอาจจะทำให้พิภพนี้ล่มสลายได้ไวขึ้น ทว่าหญิงสาวที่ปรากฏตัวท้ายภาคนี้จะช่วยกอบกู้พิภพนี้ได้จริงๆหรือไม่ !?
ถ้าคุณแคร์เบื้องลึกเบื้องหลัง เคมีของตัวละคร การปูเรื่องปูเซตติ้งโลก ขอให้ลืมมันไปเพราะเรื่องนี้สับขาเดินเรื่องอย่างเดียว ตัวละครส่วนมากเป็นประเภทใช้แล้วทิ้ง ตัวละครที่คุณจะได้ยินมาที่สุดคงไม่พ้น เชลดอน ผู้ทำนายอนาคตการล่มสลายผู้นี้นี่เอง !

📣 ระดับความอวย

เราไม่อินจนอยากอ่านต่อสักเท่าไหร่ ตัวหนังสือไม่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความสัมพันธ์ตัวละครหรือการปูเซ็ตติ้งให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วม ซึ่งเราตัดเกรดตรงนี้เป็นพิเศษ ถึงจะเข้าใจได้ถ้าหากจุดประสงค์คนเขียนไม่ได้เขียนเพื่อให้เน้นไปทางนั้น แต่เพื่อจะสะท้อนจิตวิทยาสังคมมนุษย์ ทว่าเมื่อเราไม่มีอารมณ์ร่วม ความอยากอ่านต่อนั้นจึงมีไม่มากพอที่จะทำให้เราหยิบเล่มถัดไปมาอ่าน ดังนั้นเราคงจะขอพักไตรภาคนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ และอาจได้หยิบเล่มถัดไปมาอ่าน หากโอกาสนั้นมาถึง

คะแนน (★★☆☆☆)


ลิงค์ซื้อหนังสือ สถาบันสถาปนา The Foundation

📚 ซื้อหนังสือ สถาบันสถาปนา The Foundation บ
Lazada คลิกที่นี่ | SE-ED คลิกที่นี่ | ebook บน Meb
📚 ซื้อหนังสือ สถาบันสถาปนา The Foundation แบบ ebook บน Amazon คลิกที่นี่
📚 อ่านรีวิวฉบับสั้นเล่มอื่น ๆ: https://gleegmjournal.com/category/review/book/

Loading

GleeGM

My journal on personal life and interests including Data Analytics 📈, Books 📚, Music 🎶, Basketball 🏀, Figure Skating ⛸, Anime, Film 📺, Tarot, Lenormand, Uranian Astrology🔮

You may also like...