รีวิว Mistborn มิสบอร์น นิยาย ภาค 2 Wax&Wayne [เล่ม 4-7] สิงห์ปืนไวกับไอ้หนุ่มคมแฝก [คลุมสปอย]

รูป ปก Mistborn ภาค 2: เล่ม 4-7
Mistborn ภาค 2: เล่ม 4-7

รีวิว mistborn 2

🎩 ในที่สุดก็อ่าน Mistborn 2 จบจนได้รวบยอดรีวิวซะททที๊ (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Mistborn Era 2) อย่างที่เกริ่นไปบล็อกโพสก่อนหน้านี้ภาคแรก(รีวิวมิสบอร์นภาค ๑) ที่ว่าเล่ม 7 จะออกในเดือนพฤศจิกายนปี 2022 มันเลยทำให้เราต้องรีบไปอ่านให้จบเพราะเราก็ไม่อยากจะโดนทิ้งห่างไปมากกว่านี้ 555 แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหรอก กะอ่านแค่ภาค 1 แล้วแยกย้าย แต่กลายเป็นว่าพอมีโอกาสอ่านภาคนี้จริง ๆ เรากลับชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกอีก เป็นภาคที่ตอนแรกคนเขียนตั้งใจให้มันเป็นแค่เล่มเดียวจบด้วยคือ The Alloy of Law แต่นิสัยเจ้าโปรเจกต์แบรนดอนน่ะนะ (พวกราศีธนู ตั้งเป้าหมายไม่หยุดหย่อน 555) ไปๆ มาๆ งอกมาจบที่เล่ม 7 ซะได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้ยาวกว่านี้ เข้าเนื้อหารีวิวกันเลย !

สารบัญ

วิธีการอ่านแบบหลบเลี่ยงสปอย

บทความนี้มีการคลุมสปอยบางส่วน โดยสามารถกด Popup เพื่อเปิดปิดได้
ถ้าหากผู้อ่านต้องการหลบสปอยเนื้อหาสำคัญทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย สามารถเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่มีสัญลักษณ์✅ อยู่ด้านหน้า
และสัญลักษณ์🚨 คือมีการสปอยเนื้อหาสำคัญ

หมายเหตุ คำไทยที่แปลในที่นี้คือเราแต่งขึ้นมาเอง(เพื่อความอรรถรส) ซึ่งไม่ใช่ชื่อออฟฟิเชียลของฉบับแปลไทย
ทางสนพ. Words Wonder แย้มมาว่ามีแผนจะแปลภาคนี้เช่นกัน รอดูท่าทีกันต่อไป⚡

เล่ม 4 — The Alloy of Law มือปืนเหล็กไหล (ชื่อไทยไม่ออฟฟิเชียล)

ปก mistborn alloy of law
ปกหนังสือเสียง Mistborn: The Alloy of Law โดยบริษัท GraphicAudio

(เล่ม 1 ของภาค 2) ถ้าจะแปลชื่อให้นรกกว่านี้ก็คงเป็น กฎเหล็ก 5555 เฮ้ออออ

เนื้อเรื่องย่อเล่ม 4 (สปอยเล่ม 1-3)

ภาคสองเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ภาคแรกให้อารมณ์ยุคโลหะ ภาคสองกระโดดมา 300 ปีถัดมา ให้บรรยากาศยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมสตีมพังค์ที่บวกกลิ่นคาวบอย มีรถม้า เครื่องจักรไอน้ำ ปืน กลิ่นอายซีรีส์ย้อนยุคศตวรรษที่ 18-19 อารมณ์ The Alienist หรือ Penny Dreadful โลกยังคงใช้ระบบเวทย์มนตร์ Allomancy ที่มีพัฒนาการ มีคุณสมบัติหลากหลายขึ้น ชุดตัวละครหลักคู่หูฮาเฮภาคนี้มีชื่อเล่นว่า Wax & Wayne คิดว่าคนเขียนตั้งใจตั้งชื่อสองคู่หู แวกซ์/เวน เพื่อพ้องเสียงกับ Wax/Wane—ข้างขึ้น/ข้างแรม

Waxillium Ladrian (แวกซิเลียม เลเดรียน) ตำรวจมือดีผู้เจอโศกนาฏกรรมแผลใจจนต้องทิ้งชีวิตโลดโผนล่าผู้ร้ายที่ชทบท (Roughs) มาเข้าสังคมขุนนางในเมืองใหญ่ ไม่นานนักอดีตคู่หูตัวกวน Wayne (เวน ถึงบางครั้งมันจะทำตัวชวนเวรตะไลก็ตามที -_-) ก็โผล่มาพร้อมโยนคดีคนหาย ชวนปวดหัวที่เชื่อว่ามีแค่ตาแวกซ์เท่านั้นที่จะไขคดีได้ แต่แล้วคดีก็ชักพัวพันกับการใหญ่ที่เกินคาดคิดซะได้นี่ (พัวพันกับอะไรแบบนี้ตลอดอ่ะ)

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 4 จบ (สปอยเล่ม 4)

ด้วยความที่มันเป็นเล่มแรกประจำภาค หนังสือจึงพาคนอ่านไปรู้จักกับสังคมเซตติ้งในโลกปัจจุบันว่ามันแตกต่างจากโลกที่สมัย Vin/Elend อยู่ยังไงก่อน เมืองไม่มีฝุ่นขี้เถ้าร่วงลงมาแล้ว โลหะศาสตร์ Allomancy พัฒนาการขึ้นกว่าเดิม ยุคนี้ไม่มี Mistborn แล้วแต่อย่างน้อยการมี Twinborn—ผู้ใช้ได้สองศาสตร์ถือเป็นเรื่องปกติ โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นพลังของฝั่ง Allomantic (พลังที่ Vin ใช้) อีกหนึ่งพลังจะเป็น Feruchemical (พลังกักเก็บไว้ใช้ทีหลังอย่างที่ Sazed ใช้) เช่น Wax ที่มีพลัง Coinshot+Skimmer คือมีพลังผลักโลหะกระเด็น+กักเก็บสำรองมวลน้ำหนักได้ พอเอาสองพลังนี้มาผสานกันแล้วประยุกต์ได้หลายท่าเลยล่ะ เช่นยิงกระสุนปืนออกไปแล้วเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองมีน้ำหนักในการผลักมากขึ้น เป็นคอมโบที่แกร่งจัดๆ ส่วนคู่หูจอมป่วน Wayne มีพลัง Slider+Bloodmaker คือสามารถสร้างลูกโป่งที่ข้างในเวลาเร็วกว่าข้างนอก+กักเก็บพลังชีวิตฟื้น HP ได้ แหม่สมัยนี้มีพลังใหม่อย่างการสร้างลูกโป่งมาเร่ง/ชะลอ เวลากับเค้าแล้วด้วย เอ้อออ

พอพูดถึงคู่หูฮาเฮลักษณะนี้ แทบจะเป็น Stereotype ที่มันต้องมีคนนึงออกแนวมาดเท่สุขุม อีกตัวต้องสายฮาสายตบเหมือนเอามาตัดเลี่ยน เช่นหนัง Rush Hour ที่เฉินหลงเล่นกับ Chris Tucker ซึ่งก็ไม่เข้าใจทำไมมันเข้าสูตรนี้ตลอด 55555 ถึงจะรำคาญนิสัย Wayne ที่ขยันกวนบาทาคนอื่น แต่พี่แกก็มีฝีมือมีประโยชน์กับเค้าเหมือนกันล่ะ เพราะเรื่องปลอมตัวเลียนสำเนียงท้องถิ่นเก่ง บุคลิกแบบนี้แฟนๆ หลายคนชอบนะแต่คงไม่ใช่กับเรา ฮา แต่เอาเถอะ ตามน้ำเค้าไปหน่อยแล้วกัน และถึง Wayne จะมีกฎเหล็กเป็นคนไม่ใช้ปืนก็ตามที(เหตุผลอะไรต้องไปตามอ่านเอา) แต่ฝีมือลายมือการใช้กระบอง(Dueling Cane)ก็ไม่เบาเชียวล่ะ เราเลยเรียกขำๆ ในชื่อบล็อกว่าไอ้หนุ่มคมแฝก 5555 จริงๆ อาวุธของ Wayne มันไม่ใช่ไม้เหลี่ยมคมแฝกแบบในละครช่อง 3 แต่เป็นกระบองต่อสู้เฉยๆ

ก๊วนหลักในเล่มแรก: มารศรี แวกซ์ เวน

นิยายเข้าสู่สูตรเดิมของคนเขียนแบรนดอนคือเล่าเรื่องอย่างช้าๆ แนะนำตัวละครพอให้รู้จัก Wax ผู้ทิ้งชีวิตตำรวจชนบทและเหตุการณ์แสนปวดใจมาเข้าเมืองหลวงในสังคมผู้ดีตามที่ทายาทตระกูล Ladrian ควรจะพึงปฏิบัติ ต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชนเพื่อรักษาสถานภาพของวงศ์ตระกูลกับครอบครัว Harms ที่ลูกบ้านมี Steris (สเตอริส) และ Marasi (อ่านว่ามาราซี่แต่เราติดเรียก มารศรี 55555) มีคดีคนหายเกิดขึ้นที่นับวันคนหายแล้วหายเล่า ไปๆมาๆ Steris โดนลักพาตัวกับเค้าด้วยเช้ยย เวรกรรม ระหว่างสองคู่หูสืบคดีก็ไปจ๊ะเอ๋ตัวร้ายอย่าง

ฉากสู้เมามันส์เช่นเดิม ไม่ใช้มีดปา มีดฟัน ยิงเหรียญแบบสมัยก่อนแล้ว ยิงปืนแทนและไม่ต้องใช้มุกเผาพลัง Atium ผีเห็นผี ต่างคนเห็นอนาคตยึกยักๆ ลีลาอีกแล้วเพราะงวดนี้มันไม่มีใครมีพลังเห็นอนาคตกัน (แต่มีเร่ง/ชะลอเวลาได้) มันก็ต่อยยิงกันจังๆ บ้านๆ นี่ล่ะ บู๊กันมันส์หยดไม่ว่าจะดวลเตะต่อยตัวต่อตัว สู้บนรถไฟ หรือเดอะแกงค์ธรรมะไล่ปราบลิ่วล้อผู้ก่อการร้าย ฉากที่โปรดปรานมากคือ

หนังสือปิดจบปมย่อยประจำเล่ม พร้อมทิ้งปลายเปิดเล็กน้อย

จะเสียดายที่เล่มนี้มันเน้นเดินเรื่องมากกว่าพาไปรู้จักปูมหลังและนิสัยลึกๆ ของตัวละคร เลยยังไม่ค่อยอินกับใครเท่าไหร่ นอกจากมารศรีที่ดูเป็นสาวสตรองและ Steris ผู้แสนจืดจาง แหม่ ก็ตอนแรก The Alloy of Law ถูกออกแบบมาให้เป็นเล่มเดียวจบด้วยล่ะนะ



ปก mistborn shadows of self
ปกหนังสือเสียง Mistborn: Shadows of Self โดยบริษัท GraphicAudio

เล่ม 5 — The Shadows of Self เงาพราง

(เล่ม 2 ของภาค 2)

🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 5 (สปอยเล่ม 4)

หลังจากเผชิญหน้าและ

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 5 จบ (สปอยเล่ม 4-5)

อย่างที่เคยคุยไว้ในบล็อกโพสภาคแรกว่า เล่มสองมันเป็นตัวเชื่อมระหว่างเล่มแรกไปเล่มจบ เล่มนี้ใกล้เคียงกัน ไคลแมกซ์ไม่ได้ดุเดือดเหมือนฉากสู้กับบอสประจำเล่มในเล่มก่อนหน้าด้วย แต่เล่มนี้เด่นมากในการพาไปสำรวจตัวละครให้มากขึ้น แหมก็มีเวลาให้เล่าแล้วน่ะนะ แถมเข้าใจขยี้ปมอดีต Wax ให้คนอ่านรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามไปด้วย

สงครามประสาทไว้ใจครั้งไม่ได้เหมือนสมัย Mistborn ภาคแรกที่

ในโลกใบใหม่นี้ยังคงมีปัญหาเดิมๆ คือความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ปัญหาชนชั้นล่างประท้วง ซึ่งตลกดีที่ Vin/Kelsier ในภาคแรกพยายามต่อสู้ให้เหล่า Skaa ลืมตาอ้าปากได้แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมาที่ปัญหาเดิมๆ และด้วยความที่ Wax เป็นลูกในตระกูลขุนนาง เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากรับฟังคำบอกเล่าจาก Steris ถ้าหนังสือเพิ่มมิติอีกตัวละครที่เป็นชนชั้นล่างด้วยคงสนุกดี แต่หนังสือเล่มนี้คงจะยาวขึ้นอีกเป็นแน่แท้

แม้จะบอกว่าเล่มนี้ไคลแมกซ์ไม่ได้บู๊กันดุเด็ดเผ็ดมันส์ก็ตามที แต่มันเจ๋งมากในแง่ของเล่นกับหัวจิตหัวใจคนดูและตัวละคร Wax เพราะ



ปก mistborn The Bands of Mourning
ปกหนังสือเสียง Mistborn: ฺBands of Mourning โดยบริษัท GraphicAudio

เล่ม 6 — The Bands of Mourning กำไลอมทุกข์ (ห๊ะ?..555)

(เล่ม 3 ของภาค 2) จะแปลว่ากำไลแห่งทุกข์ กำไลแห่งโศกไรงี้ก็ได้มั้ย 555555 ไม่เป็นไร เราซับนรกไว้ก่อน

🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 6 (สปอยเล่ม 4-5)

หลังจากเหตุ

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 6 จบ (สปอยเล่ม 4-6)

วนเวียนในเมืองหลวง Elendel กันเนิ่นนาน (แหม่ ไม่รู้เลยว่าชื่อเมืองเรฟมาจากใคร) ในที่สุดเล่มนี้ก็ได้เปลี่ยนเซตติ้งกันสักที !

สองเล่มที่ผ่านมาเราๆ รู้จักเดอะแกงค์สี่คนไปอย่างดีแล้ว เหลือแต่ Steris ที่ยังงงๆ อยู่ว่าเจ้าตัวเป็นแค่ตัวละคร fill-in ใส่มาเพราะคลุมถุงชนเฉยๆ รึเปล่านี่ ดูยังไงมารศรีก็มีบทเด่นกว่าชัดๆ

เป็นเล่มที่เปิดสเกลของซีรีส์ให้ใหญ่มากขึ้น ฟีลลิ่งเหมือน Hunter x Hunter เปิดตัวทวีปมืด นี่ก็เปิดตัวดินแดนแห่งใหม่ที่เหล่าพระเอกไม่รู้จัก

ในปัจฉิมบท

photo ปกนิยาย The Lost Metal รีวิว mistborn 2
ปกนิยาย The Lost Metal

เล่ม 7 — The Lost Metal โลหะที่สาบสูญ

(เล่มจบของภาค 2)

จากเหตุผลในสปอยด้านบน อีกทั้งเล่มนี้ถูกโฆษณาแต่แรกว่ามันเป็นหนังสือทฤษฎี Cosmere (จักรวาลหนังสือแบรนดอนที่มีการครอสโอเวอร์กับนิยายซีรีส์ตัวอื่นๆ ของเขาด้วย) เราจึงแนะนำอย่างยิ่งยวดว่าให้ไปอ่านเล่มเสริม Mistborn: The Secret History ก่อนเพราะเป็นเล่มภาคเสริมที่มีเนื้อหาระหว่างเล่ม 3 กับเล่ม 6 อีกทั้งปัจฉิมบทเล่ม 6 ก็เป็นปลายเปิดสู่เนื้อเรื่องของ The Secret History พอดี เล่มนี้มันเกี่ยวกับ

อีกอย่างถ้าอ่านเล่ม 6 จบแล้วมาต่อเล่ม 7 ทันทีเลยต้องมีงงและเซอร์ไพรส์ประเด็นนึงแน่ ๆ ที่ว่า

🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 7 (สปอยเล่ม 4-6)

ดินแดน

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 7 จบ (สปอยเล่ม 4-7)

มาถึงเล่มนี้ก็ Timeskip กันเลย

เป็นเล่มที่งงๆ เพราะจู่ ๆ ก็

เป็นการอ่านที่ปลุกอดรีนาลีนในร่างให้พลุ่งพล่านจริงๆ 55555

ไคลแมกซ์ยิงยาวตั้งแต่ฉาก

คงคิดถึงเดอะแกงค์นี้ไปอีกนานแสนนาน

ก่อนจะจบภาคนี้ มันปิดจบด้วยปัจฉิมบทที่ปาไป 7 ตอน เยอะชะมัด เป็นเส้นเรื่อง After Story ของหลายๆ ตัวละคร แถม Timeskip ต่างออกไป เช่นเป็นสัปดาห์เป็นเดือนเป็นปี มีพาร์ทที่

นี่จะไปลงล็อคกับที่นักเขียนเกริ่นไว้ว่า Mistborn ภาค 3 จะเป็น Space Opera (ลิเกอวกาศ) ถึงตอนนั้นคงเตรียมข้ามดาวกัน มียานยิงเป็นพลัง Allomancy กันได้เลย เล่นใหญ่จริงๆ 5555 ตามไทม์ไลน์ ต้องรอแบรนดอนเขียน Stormlight Archive เล่ม 5 ให้จบซึ่งเป็นช่วงจบเนื้อเรื่ององค์แรกของซีรีส์ SA ก่อนที่จะแวะกลับมาเยี่ยม Mistborn 3 และเล่มต่อของ Warbreaker, Elantris แหม่ เมก้าโปรเจกต์อลังการดาวล้านดวงจริงๆ นักเขียนคนนี้



🚨 จุดหักคะแนนของเล่ม 7

อย่างว่า เล่มนี้มันเป็นหนังสือ Cosmere ทฤษฎีหนักที่สุดในบรรดาตระกูล Mistborn ทฤษฎี Cosmere นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ซะด้วย เหมือนอ่านทฤษฎีควอนตั้มสักอย่าง แฮ่ ยิ่งถ้าคุณไม่ได้อ่านเล่ม 6.5—The Secret History มาก่อนแล้วอ่านเล่ม 7 ก็คงงงไก่ตาแตกกับเนื้อเรื่องของ

ใครที่ตามเก็บซีรีส์อื่นมาก่อนคงสนุกในการเจอ Easter Eggs ข้ามซีรีส์กันคล้ายๆ เวลาดูหนัง Marvel แต่อีกหนึ่งข้อเสียคือเราก็ไม่อยากให้มันอิงการ Crossover เกินไปจนสูญเสียเอกลักษณ์ในการเป็นซีรีส์ยืนเดี่ยวของมัน(ความ Standalone) เพราะคงมีคนอ่านหลายท่านที่คงไม่อยากไปตามเก็บหลายๆ เล่ม บางคนก็คงอยากอ่านแค่ Mistborn ชุดเดียว แม้ The Lost Metal จะยังไม่พบปัญหาหนักในการสูญเสียความ Standalone ไปขนาดนั้น แต่เป็นหัวข้อที่แบรนดอนต้องรักษาสมดุลให้ดีในอนาคตเพราะถ้ามีจุดร่วมเยอะจนหนักไปในทาง “พึ่งพาอาศัยกันและกัน” มากเกินไป อาจทำให้ผู้อ่านจำนวนหนึ่งเหนื่อยตามซีรีส์นี้ก็เป็นได้

คะแนนหนังสือชุดภาคสอง (★★★★☆)

หนังสือชุดสี่เล่ม ทางภาษาอังกฤษจะเขียนว่า Quadrilogy แต่พอมาเป็นภาษาไทยว่าจตุภาคแล้วมันดูเป็นศัพท์ทางคณิตศาสตร์ยังไงไม่รู้สิ จึงขอเขียนว่าหนังสือชุดภาคสองละกัน 5555

สรุป รีวิว หนังสือ Mistborn ภาค 2

Mistborn 2 เป็นหนึ่งซีรีส์สนุกๆ ชุดตัวละครหลักมีความโตขึ้น ไม่ใช่วัยรุ่นกู้โลกแล้วแต่เป็นตาลุงกู้โลก สังคมมีวิวัฒนาการศิวิไลซ์มากขึ้น เคมีและพลวัตตัวละครดูสนุกไหลลื่น เดอะแกงค์มีเสน่ห์มากกว่าตัวละครในคณะของนางเอกภาคแรก ลูกเล่นระบบเวทย์มนตร์แพรวพราวกว่าเดิม ปมเนื้อเรื่องดราม่าเล่นได้ถึงใจคนดูจนอ่านจบทีนั่งหงอยเป็นหมาของจริง แอ๊คชั่นดุเด็ดเผ็ดมันส์แสนอร่อยเหาะ จะเสียก็ตรงคะแนนของเล่มสุดท้ายที่อิงทฤษฎี Cosmere ซะเยอะ เพราะมันต้องเอาไปต่อยอดภาค 3 จนกลิ่นความเป็น Mistborn ถูกลดน้ำหนักลงไปและสามารถมองให้เป็นข้อด้อยได้ แต่ถึงกระนั้นแฟนๆ ตระกูล Mistborn ที่ติดอกติดใจในโลหะศาสตร์ไปแล้ว ภาคนี้เป็นอีกภาคที่คุณควรตามเก็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนงานของ Brandon Sanderson จนเริ่มโงหัวไม่ขึ้นซะแล้ว

ก่อนจบกันไป ขอปิดท้ายเพลง Space Lion ดนตรีประกอบอนิเม Cowboy Bebop มันช่างเป็นเพลงที่ชวนคูลดาวน์เหมาะสมแก่การเป็น End Credit สำหรับซีรีส์นี้จริงๆ

สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนนนนน แล้วพบกันใหม่ในภาค 3 🪐🪐🪐

รีวิว mistborn 2 the end of mistborn era 2
To the infinite space and beyond

ขอบคุณท่านผู้อ่านที่แวะมาอ่าน รีวิว Mistborn 2 ฉบับยาวเหยียดนี้ สำหรับใครที่อยากคุยกันต่อ ตามมาคุยกันได้ใน About Me หรือ Goodreads


แหล่งซื้อหนังสือ + บทความอื่นๆ

🪐 รีวิวผลงานอื่นๆ ของ Brandon Sanderson

📚 ซื้อหนังสือ Mistborn แบบเล่มภาคแรกภาษาไทยบน Shopee | Shop ของสำนักพิมพ์แปลไทย

📚 มีรีวิวรายเล่มของเราฉบับภาษาอังกฤษอยู่บน Goodreads ด้วยเช่นกัน เล่ม 4 | เล่ม 5| เล่ม 6 | เล่ม 7

🏀 บล็อกหัวข้อกีฬา คลิก | 📖 รีวิวBook หนังสือ |🎧 รีวิว Music ดนตรี | 📺 Anime อนิเมะ

รีวิว Mistborn 2

Loading

GleeGM

My journal on personal life and interests including Data Analytics 📈, Books 📚, Music 🎶, Basketball 🏀, Figure Skating ⛸, Anime, Film 📺, Tarot, Lenormand, Uranian Astrology🔮

You may also like...