รีวิว Mistborn มิสบอร์น ภาค 2 (Era 2) Wax&Wayne [เล่ม 4-7] สิงห์ปืนไวกับไอ้หนุ่มคมแฝก [คลุมสปอย]
รีวิว mistborn 2
หมายเหตุ: บทความรีวิว Mistborn ตัวนี้เป็นของภาค 2 ซึ่งคือเล่ม 4-7 สำหรับใครที่เข้ามาตามหารีวิวภาคแรกเล่ม 1-3 ที่ปัจจุบันมีแปลโดยสำนักพิมพ์ Words Wonder เข้าไปอ่านได้ในอีกบทความนึง คลิก
🚨 ภาคนี้จำเป็นต้องอ่านเล่ม 1-3 มาก่อน 🚨
🎩 ในที่สุดก็อ่าน Mistborn ภาค 2 จบจนได้รวบยอดรีวิวซะททที๊ (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Mistborn Era 2) อย่างที่เกริ่นไปบล็อกโพสก่อนหน้านี้ภาคแรก(รีวิวมิสบอร์นภาค ๑) ที่ว่าเล่ม 7 จะออกในเดือนพฤศจิกายนปี 2022 มันเลยทำให้เราต้องรีบไปอ่านให้จบเพราะเราก็ไม่อยากจะโดนทิ้งห่างไปมากกว่านี้ 555 แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหรอก กะอ่านแค่ภาค 1 แล้วแยกย้าย แต่กลายเป็นว่าพอมีโอกาสอ่านภาคนี้จริง ๆ เรากลับชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกอีก เป็นภาคที่ตอนแรกคนเขียนตั้งใจให้มันเป็นแค่เล่มเดียวจบด้วยคือ The Alloy of Law แต่นิสัยเจ้าโปรเจกต์แบรนดอนน่ะนะ (พวกราศีธนู ตั้งเป้าหมายไม่หยุดหย่อน 555) ไปๆ มาๆ งอกมาจบที่เล่ม 7 ซะได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้ยาวกว่านี้ เข้าเนื้อหารีวิวกันเลย !
สารบัญ
วิธีการอ่านแบบหลบเลี่ยงสปอย (อ่านเฉพาะหัวข้อที่มี ✅ ข้างหน้า)
บทความนี้มีการคลุมสปอยบางส่วน โดยสามารถกด Popup เพื่อเปิดปิดได้
ถ้าหากผู้อ่านต้องการหลบสปอยเนื้อหาสำคัญทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย สามารถเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่มีสัญลักษณ์✅ อยู่ด้านหน้า
และสัญลักษณ์🚨 คือมีการสปอยเนื้อหาสำคัญ
⚡ หมายเหตุ คำไทยที่แปลในที่นี้คือเราแต่งขึ้นมาเอง(เพื่อความอรรถรส) ซึ่งไม่ใช่ชื่อออฟฟิเชียลของฉบับแปลไทย
ทางสนพ. Words Wonder แย้มมาว่ามีแผนจะแปลภาคนี้เช่นกัน รอดูท่าทีกันต่อไป⚡
เล่ม 4 — The Alloy of Law มือปืนเหล็กไหล (ชื่อไทยไม่ออฟฟิเชียล)
(เล่ม 1 ของภาค 2) ถ้าจะแปลชื่อเรื่องให้ซับนรกกว่านี้ก็คงเป็น กฎเหล็ก 5555 เฮ้ออออ ไปเรื่อยจริงเรา
✅ เนื้อเรื่องย่อเล่ม 4 (สปอยเล่ม 1-3)
ภาคสองเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ภาคแรกให้อารมณ์ยุคโลหะ ภาคสองกระโดดมา 300 ปีถัดมา ให้บรรยากาศยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมสตีมพังค์ที่บวกกลิ่นคาวบอย มีรถม้า เครื่องจักรไอน้ำ ปืน กลิ่นอายซีรีส์ย้อนยุคศตวรรษที่ 18-19 อารมณ์ The Alienist หรือ Penny Dreadful โลกยังคงใช้ระบบเวทย์มนตร์ Allomancy ที่มีพัฒนาการ มีคุณสมบัติหลากหลายขึ้น ชุดตัวละครหลักคู่หูฮาเฮภาคนี้มีชื่อเล่นว่า Wax & Wayne คิดว่าคนเขียนตั้งใจตั้งชื่อสองคู่หู แวกซ์/เวน เพื่อพ้องเสียงกับ Wax/Wane—ข้างขึ้น/ข้างแรม
Waxillium Ladrian (แวกซิเลียม เลเดรียน) ตำรวจมือดีผู้เจอโศกนาฏกรรมแผลใจจนต้องทิ้งชีวิตโลดโผนล่าผู้ร้ายที่ชทบท (Roughs) มาเข้าสังคมขุนนางในเมืองใหญ่ ไม่นานนักอดีตคู่หูตัวกวน Wayne (เวน ถึงบางครั้งมันจะทำตัวชวนเวรตะไลก็ตามที -_-) ก็โผล่มาพร้อมโยนคดีคนหาย ชวนปวดหัวที่เชื่อว่ามีแค่ตาแวกซ์เท่านั้นที่จะไขคดีได้ แต่แล้วคดีก็ชักพัวพันกับการใหญ่ที่เกินคาดคิดซะได้นี่ (พัวพันกับอะไรแบบนี้ตลอดอ่ะ)
✅ รีวิวเล่ม 4 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 4)
เข้าสู่ยุคใหม่กันแล้ววว ในยุคชาวเมืองศิวิไลซ์มากขึ้น ฟีลตัวละครจากมนุษย์ยุคโลหะเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แน่นอนว่าเวลาผ่านมาหลายปีจนเปลี่ยนยุค ตัวละครต้องเป็นเซ็ตใหม่ แต่เราจะได้ยินชื่อตัวละครเก่าแวะเวียนมาบ้าง (เขา ๆ กลายเป็นตำนานไปแล้วนี่นะ) จนคนอ่านอดอมยิ้มในความคิดถึงวันวานไม่ได้ ภาคนี้มีวิวัฒนาการระบบพลังใหม่ๆ อย่างเช่นภาคแรก ชาว Misting ทั้งหลายจะมีพลังแค่หนึ่งอย่าง แต่เดี๋ยวนี้มี Twinborn ที่สามารถใช้วิชาโลหะศาสตร์ได้สองสาขาคือสาขา Allomantic (พลังที่ Vin ใช้) และอีกหนึ่งพลังเป็นสาขา Feruchemical (พลังที่ Sazed ใช้) ซึ่งคนเขียนก็ออกแบบคู่พลังให้ตัวเอกเราเอามาประยุกต์ใช้ได้เท่ดี เหมาะเจาะกับทักษะแม่นปืนของพี่แกเลยล่ะ
เริ่มต้นหนังสือเป็นการเล่าถึงเซตติ้งในยุคใหม่ ตัวละครหลักเราทำอะไร เข้าไปพัวพันในคดีอะไร เจอตัวร้ายแบบไหน ซึ่งก็ยังทำได้สนุกในแบบฉบับของแซนเดอร์สัน (ชอบฉากสู้กลางเล่มมาก อ่านไปเหมือนดูหนังตรงหน้าไปอีกแล้ว 5555) แถมออกแบบพลังตัวร้ายได้โกงความตายดี งานนี้ก็ต้องชิงไหวชิงพริบกันสักหน่อย มีฉากบู๊จัดๆอยู่สองฉากใหญ่ๆ ซึ่งทำได้สนุกทั้งสองฉาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เล่มนี้ในตอนแรกถูกออกแบบให้เป็นเล่มเดียวจบ เนื้อเรื่องในเล่มจึงถูกเขียนให้จบครบเดินเรื่องเสร็จสิ้นในเล่มเดียว ทำให้มิติตัวละครในเล่มนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเท่าไหร่ เราจึงไม่ได้อินกับตัวละครชุดใหม่นี้มากนักและเป็นข้อเสียในเล่มนี้ไป รวมไปถึงเส้นเรื่องโฟกัสกับตัวละครหลักจนบทตัวละครสมทบอื่นๆ โดนกลบหายไปเสียหมด ทว่าในภายหลัง ภาคนี้มันก็ถูกขยายออกมาเป็นสี่เล่มจบ จุดอับในเรื่องมิติตัวละครนี้จึงถูกชดเชยในเล่มหลังๆ แต่ถ้าประเมินกันที่เล่มนี้เพียวๆ ก็ถือว่าสอบผ่าน ได้อยู่
🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 4 จบ (สปอยเล่ม 4)
ด้วยความที่มันเป็นเล่มแรกประจำภาค หนังสือจึงพาคนอ่านไปรู้จักกับสังคมเซตติ้งในโลกปัจจุบันว่ามันแตกต่างจากโลกที่สมัย Vin/Elend อยู่ยังไงก่อน เมืองไม่มีฝุ่นขี้เถ้าร่วงลงมาแล้ว โลหะศาสตร์ Allomancy พัฒนาการขึ้นกว่าเดิม ยุคนี้ไม่มี Mistborn แล้วแต่อย่างน้อยการมี Twinborn—ผู้ใช้โลหะศาสตร์ได้สองสาขาซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นพลังของสาขา Allomantic (พลังที่ Vin ใช้) อีกหนึ่งพลังจะเป็นสาขา Feruchemical (พลังกักเก็บไว้ใช้ทีหลังอย่างที่ Sazed ใช้) เช่น Wax ที่มีพลัง Coinshot+Skimmer คือมีพลังผลักโลหะกระเด็น+กักเก็บสำรองมวลน้ำหนักได้ พอเอาสองพลังนี้มาผสานกันแล้วประยุกต์ได้หลายท่าเลยล่ะ เช่นยิงกระสุนปืนออกไปแล้วเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองมีน้ำหนักในการผลักมากขึ้น เป็นคอมโบที่แกร่งจัดๆ ส่วนคู่หูจอมป่วน Wayne มีพลัง Slider+Bloodmaker คือสามารถสร้างลูกโป่งที่ข้างในเวลาเร็วกว่าข้างนอก+กักเก็บพลังชีวิตฟื้น HP ได้ แหม่สมัยนี้มีพลังใหม่อย่างการสร้างลูกโป่งมาเร่ง/ชะลอ เวลากับเค้าแล้วด้วย เอ้อออ
พอพูดถึงคู่หูฮาเฮลักษณะนี้ แทบจะเป็น Stereotype ที่มันต้องมีคนนึงออกแนวมาดเท่สุขุม อีกตัวต้องสายฮาสายตบเหมือนเอามาตัดเลี่ยน เช่นหนัง Rush Hour ที่เฉินหลงเล่นกับ Chris Tucker ซึ่งก็ไม่เข้าใจทำไมมันเข้าสูตรนี้ตลอด 55555 ถึงจะรำคาญนิสัย Wayne ที่ขยันกวนบาทาคนอื่น แต่พี่แกก็มีฝีมือมีประโยชน์กับเค้าเหมือนกันล่ะ เพราะเรื่องปลอมตัวเลียนสำเนียงท้องถิ่นเก่ง บุคลิกแบบนี้แฟนๆ หลายคนชอบนะแต่คงไม่ใช่กับเรา ฮา แต่เอาเถอะ ตามน้ำเค้าไปหน่อยแล้วกัน และถึง Wayne จะมีกฎเหล็กเป็นคนไม่ใช้ปืนก็ตามที(เหตุผลอะไรต้องไปตามอ่านเอา) แต่ฝีมือลายมือการใช้กระบอง(Dueling Cane)ก็ไม่เบาเชียวล่ะ เราเลยเรียกขำๆ ในชื่อบล็อกว่าไอ้หนุ่มคมแฝก 5555 จริงๆ อาวุธของ Wayne มันไม่ใช่ไม้เหลี่ยมคมแฝกแบบในละครช่อง 3 แต่เป็นกระบองต่อสู้เฉยๆ
"Golden trio."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) March 25, 2021
Marasi, Wax and Wayne (Mistborn era 2).
Artist: @/artofjulesblog (Tumblr). pic.twitter.com/ZM7m8YBmgQ
ก๊วนหลักในเล่มแรก: มารศรี แวกซ์ เวน
นิยายเข้าสู่สูตรเดิมของคนเขียนแบรนดอนคือเล่าเรื่องอย่างช้าๆ แนะนำตัวละครพอให้รู้จัก Wax ผู้ทิ้งชีวิตตำรวจชนบทและเหตุการณ์แสนปวดใจมาเข้าเมืองหลวงในสังคมผู้ดีตามที่ทายาทตระกูล Ladrian ควรจะพึงปฏิบัติ ต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชนเพื่อรักษาสถานภาพของวงศ์ตระกูลกับครอบครัว Harms ที่ลูกบ้านมี Steris (สเตอริส) และ Marasi (อ่านว่ามาราซี่แต่เราติดเรียก มารศรี 55555) มีคดีคนหายเกิดขึ้นที่นับวันคนหายแล้วหายเล่า ไปๆมาๆ Steris โดนลักพาตัวกับเค้าด้วยเช้ยย เวรกรรม ระหว่างสองคู่หูสืบคดีก็ไปจ๊ะเอ๋ตัวร้ายอย่าง
คลิกเพื่อดูสปอย
เฮีย Miles Hundredlives ยอดคนถึกเพราะมีพลัง Bloodmaker ยกกำลังสอง กล่าวคือสามารถฟื้นตัวได้ไม่หยุดประหนึ่ง Deadpool มีคนทำ Fancasting บอกด้วยว่า Miles นี่ต้องให้เฮีย Hugh Jackman เล่นสิ ในขณะเดียวกัน มีคนเชียร์ให้ Hugh เล่นเป็น Wax อ้าว ยังไงดี 5555 แต่ถ้า Hugh เล่นเป็น Wax นี่ได้ลุคสมัยแกเล่นหนัง Van Helsing ดีๆ เลยนะเอ้อฉากสู้เมามันส์เช่นเดิม ไม่ใช้มีดปา มีดฟัน ยิงเหรียญแบบสมัยก่อนแล้ว ยิงปืนแทนและไม่ต้องใช้มุกเผาพลัง Atium ผีเห็นผี ต่างคนเห็นอนาคตยึกยักๆ ลีลาอีกแล้วเพราะงวดนี้มันไม่มีใครมีพลังเห็นอนาคตกัน (แต่มีเร่ง/ชะลอเวลาได้) มันก็ต่อยยิงกันจังๆ บ้านๆ นี่ล่ะ บู๊กันมันส์หยดไม่ว่าจะดวลเตะต่อยตัวต่อตัว สู้บนรถไฟ หรือเดอะแกงค์ธรรมะไล่ปราบลิ่วล้อผู้ก่อการร้าย ฉากที่โปรดปรานมากคือ
คลิกเพื่อดูสปอย
Wax ใช้ตัวเองถล่มตึกฝั่งผู้ร้ายร่วงทั้งอาคาร โคตรเท่เลย สมราคาพระเอกสุดหนังสือปิดจบปมย่อยประจำเล่ม พร้อมทิ้งปลายเปิดเล็กน้อย
คลิกเพื่อดูสปอย
เพราะคดีคนหายก็ยังอยู่ แล้วก็กรี๊ดกันไปเพราะ มาร์ชชชชช ยังไม่ตายยย ตัวละครที่ underrated และควรมีแฟนคลับพอๆกับตา Kelsier ไม่มีหมอนี่ดีดต่างหูของ Vin ให้นี่ โลกล่มสลายไปแล้วนะเอ้อจะเสียดายที่เล่มนี้มันเน้นเดินเรื่องมากกว่าพาไปรู้จักปูมหลังและนิสัยลึกๆ ของตัวละคร เลยยังไม่ค่อยอินกับใครเท่าไหร่ นอกจากมารศรีที่ดูเป็นสาวสตรองและ Steris ผู้แสนจืดจาง แหม่ ก็ตอนแรก The Alloy of Law ถูกออกแบบมาให้เป็นเล่มเดียวจบด้วยล่ะนะ
เล่ม 5 — The Shadows of Self เงาพราง
(เล่ม 2 ของภาค 2)
🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 5 (สปอยเนื้อเรื่องเล่ม 1-4)
หลังจากเผชิญหน้าและ
คลิกเพื่อดูสปอย
ปราบเฮีย Miles ไปได้ เล่มนี้ เดอะแกงค์ได้เจอศัตรูใหม่ พร้อมสารเยี่ยมเยียนจาก Harmony หรือที่รู้จักในนามเก่าว่า Sazed ! ว่าคานดร้าผู้ทรยศอย่าง Paalm ได้แปรพักตร์และหนีออกจากการควบคุมของ Harmony อีกทั้งยังไล่ฆ่าคนไปทั่ว สงครามประสาทที่ต้องสืบหาอีกแล้วว่า Paalm แฝงตัวเป็นใคร และอดีตอันเลวร้ายของ Wax ก็ตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง !✅ รีวิวเล่ม 5 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 5)
เป็นเรื่องตลกร้ายเบาๆ ที่ในภาคแรก เหล่าคณะตัวเอกสู้ยิบตาเพื่อเอาอิสรภาพมาให้เล่า Skaa งวดนี้พระเอกเราอยู่ในชนชั้นขุนนาง ซึ่งมันก็กลับมาวังวนเดิมๆ ที่มีการประท้วงและความไม่เป็นธรรมในสังคม แต่พระเอกเรา เฮีย Wax ก็ดูไม่เข้าใจตรงนี้เท่าไหร่ นอกจากปากคำจากเพื่อนพระเอกที่เล่าว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในเมือง อีกทั้งในหนังสือไม่มีมุมมองจากตัวละครในฝั่งผู้ประท้วงมาเล่าอุดตรงนี้เลยด้วย มิติในส่วนนี้จึงหายไป แต่ถ้ามีเล่าเสริม ความหนาคงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
และด้วยความที่มันเป็นเล่มสองในหนังสือชุด ไคลแมกซ์ของเล่มนี้มันจึงไม่หวือหวาเท่าไหร่ เพราะเหมือนเป็นการประคองโมเมนตัมเพื่อส่งต่อไปเล่มถัดไปมากกว่า ในเล่มนี้จึงไม่มีแอ๊คชั่นที่เดือดจัดแบบเล่ม 4 แต่ใส่กลิ่นอายตามหา Imposter แบบเกมส์ Among Us กล่าวคือ ใครกันที่แอบแฝงมาในหมู่พวกเรา !? ตรงนี้จะคล้ายกับภาคแรกที่ Vin ต้องเสาะหาคานดร้าซ่อนแอบที่แนบเนียนมาในคณะของเธอ ภาคนี้ก็มีโมเมนต์สืบเสาะเช่นกัน
แต่ในส่วนของมิติตัวละครที่เราทักไปในเล่ม 4 ว่าเน้นเดินเรื่องเอาๆ ไม่ค่อยปูมิติตัวละครมากนัก งวดนี้แบรนดอนแกจัดใหหหห้ เพราะแกเติมมิติให้เราอินกับปูมหลังให้เฮีย Wax มากขึ้น และก็สามารถเขียนขยี้ในระดับที่ถ้าคนอ่านอินกับตัวละครง่ายๆ ก็อาจจะมีโมเมนต์ใจสลายระดับที่เราไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครถึงขึ้นนี้ในภาคแรก แต่ภาคนี้เล่มนี้ทำให้เราได้ อ่านแล้วถึงกับใจหล่นตุ้บไปถึงตาตุ่มเลยทีเดียว 5555
🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 5 จบ (สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 1-5)
อย่างที่เคยคุยไว้ในบล็อกโพสภาคแรกว่า เล่มสองมันเป็นตัวเชื่อมระหว่างเล่มแรกไปเล่มจบ เล่มนี้ใกล้เคียงกัน ไคลแมกซ์ไม่ได้ดุเดือดเหมือนฉากสู้กับบอสประจำเล่มในเล่มก่อนหน้าด้วย แต่เล่มนี้เด่นมากในการพาไปสำรวจตัวละครให้มากขึ้น แหมก็มีเวลาให้เล่าแล้วน่ะนะ แถมเข้าใจขยี้ปมอดีต Wax ให้คนอ่านรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามไปด้วย
สงครามประสาทไว้ใจครั้งไม่ได้เหมือนสมัย Mistborn ภาคแรกที่
คลิกเพื่อดูสปอย
มีคานดร้าฝั่งอธรรมแฝงตัวเข้ามาแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร Vin ต้องคอยตามสืบ เล่มนี้ก็เช่นกัน คานดร้าผู้เลียนแบบความเป็นมนุษย์ได้แนบเนียนนั้นมันช่างยากจริงๆ ที่จะสืบหาผู้ร้ายนอกจากมี Harmony ให้คนดูกรี๊ดกร๊าดกัน และ Marsh ในท้ายเล่มที่แล้ว เล่มนี้มีแขกรับเชิญ Tensoon เข้ามาอีก มีแต่ตัวอายุยืนทั้งนั้นอ่ะ ตัวอื่นม่องเท่งไปแล้ว 5555
ตัวละครใหม่ที่เข้ามาร่วมเดอะแกงค์ Wax & Wayne คือ MeLaan คานดร้าอายุน้อย ที่ Harmony ดึงให้มาช่วยปราบ Paalm อีกราย
ในโลกใบใหม่นี้ยังคงมีปัญหาเดิมๆ คือความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ปัญหาชนชั้นล่างประท้วง ซึ่งตลกดีที่ Vin/Kelsier ในภาคแรกพยายามต่อสู้ให้เหล่า Skaa ลืมตาอ้าปากได้แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมาที่ปัญหาเดิมๆ และด้วยความที่ Wax เป็นลูกในตระกูลขุนนาง เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากรับฟังคำบอกเล่าจาก Steris ถ้าหนังสือเพิ่มมิติอีกตัวละครที่เป็นชนชั้นล่างด้วยคงสนุกดี แต่หนังสือเล่มนี้คงจะยาวขึ้นอีกเป็นแน่แท้
แม้จะบอกว่าเล่มนี้ไคลแมกซ์ไม่ได้บู๊กันดุเด็ดเผ็ดมันส์ก็ตามที แต่มันเจ๋งมากในแง่ของเล่นกับหัวจิตหัวใจคนดูและตัวละคร Wax เพราะ
คลิกเพื่อดูสปอย ตอนจบเล่ม 5 *ตรงนี้สปอยแรง*
Paalm เปิดเผยทีหลังว่าคือ ____ (เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ) ที่เสียความศรัทธาใน Harmony เธอได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เข้ามาอยู่ใกล้ Wax แต่ต่อมาเธอพบว่าเธอตกหลุมรัก Wax จริงๆ ท้ายที่สุด Wax มีโอกาสยิงกระสุนนัดสำคัญใส่ Paalm กระสุนที่จะทำให้ Harmony เข้าควบคุมเธอได้อีกครั้ง ซึ่ง Paalm รู้แกวชิงฆ่าตัวเองก่อน มันต้องปวดใจแค่ไหนที่ Wax เห็น Paalm ตายซ้ำรอบสองแถมต้องมารู้อีกว่าการที่เขาได้เจอ Paalm คือแผนการของ Harmony ที่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ บาดแผลที่โดนกรีดแล้วกรีดเล่าทำเอา Wax ช็อกไม่เป็นอันทำกินไปหลายเดือน ประกอบกับช่วงปฐมบทที่ผู้อ่านได้อ่านฉากสั้นๆ ระหว่าง Paalm กับ Wax สมัยอยู่ชนบทมันก็ทำให้รู้สึกบาดใจในความสัมพันธ์ของสองคนนี้ที่ต้องแยกจากกันจริงๆ ถ้าหนังสือเล่มนี้มีโอกาสได้ถูกดัดแปลงเป็นหนัง ฉากปัจฉิมบทในเล่มนี้ก็เหมาะสมที่จะทำเป็น End Credit อย่างมากฉากที่ Wax ยังคงโคม่าทางใจอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียว ไฟจากเตาผิงปะทุเป็นระยะๆ ชั่วโมงนั้น Steris อยู่ข้างๆ Wax ในห้อง เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขามากนอกจากอยู่เคียงข้างเขา ให้ Wax ซบไหล่…และ Wax ก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ ท่ามกลางกองฟืนที่ค่อยๆ มอดไหม้… 😭 มีนักวาด Elisgardor วาดรูปประกอบ Fanart ฉากนี้ไว้ได้เหมาะสมมาก
เรายกให้เนื้อเรื่องส่วนนี้คือเดอะเบสในใจเราในการเล่นกับหัวใจคนดูและความสัมพันธ์เป็นพิเศษ แม้ ____ กับ Wax จะไม่ได้ถูกเล่าเยอะในหนังสือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะเทือนใจคนดูได้พอสมควรทีเดียวเชียวล่ะ
เล่ม 6 — The Bands of Mourning กำไลอมทุกข์ (ห๊ะ?..555)
(เล่ม 3 ของภาค 2) จะแปลว่ากำไลแห่งทุกข์ กำไลแห่งโศกไรงี้ก็ได้มั้ย 555555 ไม่เป็นไร เราซับนรกไว้ก่อน
🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 6 (สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 1-5)
หลังจากเหตุ
คลิกเพื่อดูสปอย
โศกนาฏกรรมอันสะเทือนขวัญได้จบลงไป Harmony ยังคงส่งภารกิจใหม่มาให้ Wax ในครั้งนี้ (ใช้คนเก่งจังอ่ะเรา) ฝั่งคานดร้าพบเบาะแส Bands of Mourning — กำไลแห่งโศก เครื่องประดับในตำนานที่ว่ากันว่ามันเคยเป็นของเจ้าแผ่นดิน (Lord Ruler) และจะมอบพลังไร้เทียมทานให้กับผู้สวมใส่ Wax และคณะต้องเดินทางสู่นครทางใต้ New Seran และเผชิญหน้าองค์กรที่มีเป้าหมายเดียวกัน The Set บงการโดยลุงของเขา Edwarn
✅ รีวิวเล่ม 6 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 6)
เล่มนี้คงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารักทีมตัวละครในภาคนี้มากกว่าาาาาาาาาาาภาคแรกบานนนนนนนนนนนนนนน ในเล่มนี้เดินเรื่องด้วยทีมตัวละครที่ต้องไปทำเควสด้วยกัน มีหลัก ๆ ห้าคนซึ่งก็ค่อยๆ ปั้นมาจากเล่ม 4-5 นั่นแหละ แต่มิติตัวละครแต่ละตัวก็เริ่มปูขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย แต่จะมีตัวนึงที่บทจืดจาดจัดๆ ในเล่ม 4-5 แต่จู่ ๆ ก็พลิกฝ่ามือตีตื้นมาในระดับที่คนดูสามารถรักตัว ๆ นี้ไปได้ และเอาใจช่วยกับเค้าด้วยเช้ยยย (เป็นตัวละครที่ถ้าทำให้โพลกันในด้อมของหนังสือแบรนดอน เสียงส่วนมากจะรักตัวๆ นี้ 55555 แน่นอนเราก็รัก 5555 MUST PROTECT AT ALL COST) กลายเป็นว่านี่เป็นทีมที่เคมีกลมกลืนกลมกล่อมกันจริงๆ
เล่มนี้เดินเรื่องคล้ายเล่ม 4 คือมีทำเควสออกผจญภัยไปในที่แห่งหนึ่ง มีศัตรูและฝูงลูกกะจ๊อกคอยก่อกวน ซึ่งก็เขียนคิวบู๊ตรงนี้ได้สนุกอีกแล้ว บันเทิงดีแท้มาก 😂😂 อีกทั้งมีบอสที่ต้องสู้ประจำเล่ม แต่ก็ออกแบบพลังมาให้ไม่รู้ว่าฝั่งตัวเอกจะสู้ยังไง โกงอีกแล้วอ่ะ 5555 นี่ขนาดฝั่งตัวเอกเรา ฝีมือก็ไม่ได้ไก่กานะ แต่เขียนได้สิ้นหวังพอๆ กับตอนที่ Vin โดนฝูง Inquisitor รุมเป็นสิบในเล่ม 3 เลยล่ะ โดยรวมเป็นเล่มที่เล่มใหญ่เตรียมส่งท้ายชุดใหญ่ไฟกะพริบในเล่มสุดท้าย
🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 6 จบ (สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 4-6)
วนเวียนในเมืองหลวง Elendel กันเนิ่นนาน (แหม่ ไม่รู้เลยว่าชื่อเมืองเรฟมาจากใคร) ในที่สุดเล่มนี้ก็ได้เปลี่ยนเซตติ้งกันสักที !
สองเล่มที่ผ่านมาเราๆ รู้จักเดอะแกงค์สี่คนไปอย่างดีแล้ว เหลือแต่ Steris ที่ยังงงๆ อยู่ว่าเจ้าตัวเป็นแค่ตัวละคร fill-in ใส่มาเพราะคลุมถุงชนเฉยๆ รึเปล่านี่ ดูยังไงมารศรีก็มีบทเด่นกว่าชัดๆ
คลิกเพื่อดูสปอย
ไปๆ มาๆ งวดนี้แบรนดอนเติมบทให้ Steris แซงทุกโค้งเลยจ้า ทำให้คนดูรู้จักนางมากขึ้น ทั้งนิสัยยอดนักวางแผนสำรอง แผน 2,3,4 นางเริ่มทำคะแนนตั้งแต่ช่วงขึ้นรถไฟลงไปทางใต้เลย เริ่มคุยกับ Wax แล้ว Wax ถามว่าอ่านอะไรอยู่ 😏😏 จนถึงตอนช่วยสอน Wax อ่านบัญชี ตอนเจอโจรป่าไฮแจ๊ครถไฟอีก สู้กันบนรถไฟทีไรมีอะไรให้สนุกทุกทีสิน่า 55555 ไหนจะฉากดิ่งพสุธาไปช่วย Steris ที่พลัดตกจากรถไฟอีก กรีสสสสส แล้ว Wayne กับ MeLaan หายไปไหน !? อ้ออออ หนีหายไปจู๋จี๋หลังขบวนจ้าาา โว้ยยย คนเค้าเป็นห่วงนึกว่าโดนลักพาตัว !! 🤣🤣🤬
Steris ช่วยเติมเต็มทักษะหลายๆ ส่วนที่ Wax ขาดหาย ก็ Wax เก่งแต่เรื่องสู้ๆ อ่ะ จะให้เข้าสังคมสุงสิง พูดจาเล่นพวกเล่นลิ้นแกก็ไม่เก่งหรอก ไม่ค่อยรู้เรื่องสายป่านตระกูลขุนนางด้วย Steris จึงมาปิดจุดอับตรงนี้ได้ดี แถมช่วยเนียนๆ กับ Wax ได้อีก ฉากงานเลี้ยงที่เจอประจำในภาค 1 ในที่สุดภาคนี้เราก็ได้เห็นฉากนี้อีกครั้ง (ว่าแต่น้ำสีเหลืองนั่นมันคืออะไรก่อน เห็นนะสเตอริสว่าแอบกินไป 2 แก้วอ่ะ 55555)
Wax and Steris (Mistborn era 2).
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) August 3, 2021
Artist: @/artbyjuliajm (Instagram). pic.twitter.com/NJnK5PiIFN
ลุงมือปืนกับคุณนายแผนเยอะ
นอกจากล่องใต้กันแล้ว องค์กร The Set และ Edwarn เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มีลัทธิศาสนาความเชื่อเข้ามาเอี่ยวตามสไตล์แบรนดอน อย่างเช่น Trell เทรลคือใครกัน ทำไมถึงมีคนบูชา? ไหนจะพี่สาวของแวกซ์—Telsin ที่พลัดพรากจากกันมาตลอด แล้วนั่นอะไร ชายผู้มีหน้ากาก เรือบิน !!?? อมก เทคโนโลยีเริ่มล้ำขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นวิทยาการที่ฝั่งแวกซ์ก็สตั๊นไปตามๆ กัน ไอ้สิ่งปลูกสร้างนี่มันอะไรกันครับนนนี่
ช่วงไคลแมกซ์รันคิวกันสนุกมาก ทั้งฉากเข้าวัดตะลุยดันเจี้ยน สู้กับศัตรู และเป็นอีกครั้งที่แบรนดอนเขียนให้คนดูสิ้นหวังอีกแล้ว 5555 เพราะศัตรูแสนจะ OP (Overpowered) ทำเอาฝั่งพระเอกแล้วสภาพเละตุ้มเป๊ะไปไม่เป็น
ไหนจะ Wax แว้บไปเจอ Harmony ในชีวิตหลังความตายแล้ว เธอคนนั้นก็ฝากบอก Harmony มาอีกว่า “ฝากดูแล Wax ด้วยนะ” 🥹🥹🥹🥹
"Can you forgive me?"
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) May 14, 2021
Wax and Harmony (Mistborn era 2)
Artist: @/conjchamberlain (Instagram). pic.twitter.com/KQX2dyAPUa
เป็นเล่มที่เปิดสเกลของซีรีส์ให้ใหญ่มากขึ้น ฟีลลิ่งเหมือน Hunter x Hunter เปิดตัวทวีปมืด นี่ก็เปิดตัวดินแดนแห่งใหม่ที่เหล่าพระเอกไม่รู้จัก
ในปัจฉิมบท
คลิกเพื่อดูสปอย *ตรงนี้สปอยแรง*
มีเซอร์ไพรส์อีกว่า Kelsier ยังมีชีวิตอยู่ !!!เล่ม 7 — The Lost Metal โลหะที่สาบสูญ
(เล่มจบของภาค 2)
จากเหตุผลในสปอยด้านบน อีกทั้งเล่มนี้ถูกโฆษณาแต่แรกว่ามันเป็นหนังสือทฤษฎี Cosmere (จักรวาลหนังสือแบรนดอนที่มีการครอสโอเวอร์กับนิยายซีรีส์ตัวอื่นๆ ของเขาด้วย) เราจึงแนะนำอย่างยิ่งยวดว่าให้ไปอ่านเล่มเสริม Mistborn: The Secret History ก่อนเพราะเป็นเล่มภาคเสริมที่มีเนื้อหาระหว่างเล่ม 3 กับเล่ม 6 อีกทั้งปัจฉิมบทเล่ม 6 ก็เป็นปลายเปิดสู่เนื้อเรื่องของ The Secret History พอดี เล่มนี้มันเกี่ยวกับ
คลิกเพื่อดูสปอย
ชีวิตช่วงกึ่งเป็นกึ่งตายของ Kelsier หลังโดนเจ้าแผ่นดินโบกเข้าไป ตลอดเล่มเล่าขนานถึงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับฝั่ง Vin และมีตัวละครที่เกี่ยวกับจักรวาล Cosmere เข้ามาด้วย ในเล่มนี้เราจะเข้าใจกลไกของ Preservation, Ruin (นิดนึง) ว่ามันคืออะไรซึ่งสองพลังงานนี้มันเป็นเสี้ยวหนึ่งของ Shard (ชิ้นส่วนของพระเจ้าทั้ง 16 ชิ้นในบนจักรวาล Cosmere หาอ่านเพิ่มได้ในเว็บของ Coppermind คลิก)"Alone in the Well."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) April 6, 2022
Kelsier (Mistborn).
Artist: @/lamaery (Tumblr). pic.twitter.com/zJLjWNvvIY
อีกอย่างถ้าอ่านเล่ม 6 จบแล้วมาต่อเล่ม 7 ทันทีเลยต้องมีงงและเซอร์ไพรส์ประเด็นนึงแน่ ๆ ที่ว่า
คลิกเพื่อดูสปอย
Kelsier มาป้วนเปี้ยนอยู่บนดินได้ไง มันน่าจะตายไปแล้วนี่🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 7 (สปอยเล่ม 1-6)
ดินแดน….
คลิกเพื่อดูสปอย
Malwish แห่งตอนใต้ ดินแดนที่มีวิทยาการสุดไฮเทคได้เปิดตัวและเป็นที่รู้จักแล้ว แต่ไม่วายที่มันเริ่มมีการคานอำนาจระหว่าง Elendel กับ Malwish ซะนี่ ดูเชิงกันอยู่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเปิดสงครามก่อนพูดถึงคดีลักพาตัวที่ยังไม่ปิดแฟ้ม เริ่มพอจับทางได้แล้วว่าเป็นฝีมือ The Set, Trell คือใครกันแน่, Telsin พี่สาวของแวกซ์มีแผนการอะไร Harmony ที่เริ่มสูญเสียพลังพระเจ้า วิกฤตการณ์ที่ดาวดวงนี้กำลังจะถูกช่วงชิงจากมวลสารปริศนา เป็นอีกครั้งที่ Wax ในฐานะดาบของพระเจ้า—Harmony ในร่างสังขารกรอบกว่าที่ผ่านมาต้องลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้ง..เพื่ออิสรภาพของดาวดวงนี้ !
✅ รีวิวเล่ม 7 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 7)
คำแนะนำ: ก่อนอ่านเล่ม 7 แนะนำให้อ่านเรื่องสั้น Mistborn: The Secret History เพราะมีการเฉลยปมสำคัญเพื่อใช้เดินเรื่องในเล่ม 7
เล่มปิดจบภาค 2 ที่ยิ่งใหญ่อลังการ และทำให้เรารู้สึกว่าต้องคิดถึงทีมตัวละครชุดนี้แน่ๆ ผูกพันกว่าตัวละครภาคแรกอีก 55555 บู๊อย่างจัดหนักจัดเต็ม ยิงยาวระดับ 200 หน้า เดือดจัดดดด ถ้าใครเคยดูหนัง ต้มยำกุ้ง ที่จาพนมมีฉาก Long Take วิ่งอัดคู่ต่อสู้ขึ้นหอคอยไปเรื่อยๆ แบบไม่พัก(ตัวอย่างฉาก) เล่มนี้ก็ให้ความรู้สึกเดียวกัน มันจะบู๊อะไรขนาดนี้
รวมไปถึง เล่มนี้มี Timeskip เวลาผ่านไปสักเล็กน้อย ทำให้เฮีย Wax ของเราแก่ขึ้น สังขารไม่เปรี้ยวเหมือนตอนแรกๆ สู้ไปบ่นไปว่าร่างกรอบ เอ้อ สมจริงดี 5555 ใด ๆ แล้ว The Lost Metal เป็นหนังสือปิดภาคที่ทำได้ครบรสครบองค์ไม่แผ่ว แต่ก็มีจุดที่เราหักคะแนนอยู่หน่อย ๆ คือ….ความที่มันอิงทฤษฎีจักรวาล Cosmere เกินไปนี่ละ
หากใครจำเล่ม 3 (Hero of Ages) ที่จู่ ๆ เนื้อเรื่องก็อัปสเกล จากที่ตอนแรก Vin สู้กับคนดีๆ จู่ๆ ก็ไปสู้กับมวลสารปริศนาระดับพระเจ้าเฉยเลย นี่ก็พอกัน ตอนแรกดูสู้กับกลุ่มคน จู่ๆ ก็ไปพัวพันกับอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกแล้ว แต่งวดนี้ออกทะลุจักรวาลพร้อมทฤษฎีล้านแปดแบบไม่ชวนตั้งตัวกว่าเดิม
ซึ่งถ้าใครแวบไปชม บทความแนะนำการอ่านนิยาย Brandon Sanderson ที่เราเขียนไว้อีกโพสนึง จะพบว่าถ้าตามอ่านนิยายซีรีส์อื่นๆ ของคนเขียนคนนี้ซึ่งมันก็มีจุดเชื่อมโยงบางอย่างมาที่ซีรีส์ Mistborn บ้าง ก็อาจจะเตรียมพร้อมกับความทะลุจักรวาลนี้อยู่บ้าง แต่ถ้าใครตามอ่านแค่ซีรีส์ Mistborn อย่างเดียว น่าจะมีจุดสะกิดใจบางอย่างระหว่างอ่าน เพราะมันจะมีชุดตัวที่ละครที่โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยมากนักแต่ก็พูดทฤษฎีที่ค่อนข้างชวนงงเลยทีเดียว แล้วทำให้เกือบครึ่งนึงของเล่มนี้มีความรู้สึกว่ามันเป็น Mistborn พันธุ์ทางไปหน่อย เพราะมีเนื้อหาที่พูดอะไรที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ส่วนนึง ฟีลมีตัวละครรับเชิญจากหนังฮีโร่ Marvel เรื่องอื่นที่เราไม่ได้ดู แวะมาแสดงในหนังฮีโร่ตัวนี้ ทำให้เราไม่ค่อยเก็ทหรือรีเลทกับเค้าๆ เท่าไหร่ แต่ก็พออ่านจอยๆ ตามน้ำไปได้อยู่ ถึงจะไม่สาหัสสากรรจ์ซีเรียสขนาดนั้น แต่มันก็ทำให้คนอ่านหลุดๆ หรือรู้สึกต่อไม่ติดไม่อินได้บ้างเหมือนกัน จึงเป็นเหตุที่ทำให้เราหักคะแนนในเล่มนี้นั่นเอง
🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 7 จบ (สปอยเล่ม 4-7)
มาถึงเล่มนี้ก็ Timeskip กันเลย
คลิกเพื่อดูสปอย
Wax กับ Steris มีลูกสองคนแล้วกรี๊ดด แต่ตั้งชื่อลูกได้ง่ายดี โถโถ เล่มนี้รู้สึกหนังสือเน้นย้ำเรื่องสังขารแวกซ์มากเลย จะตายไม่ตายเนี่ย พี่แกบ่นเยอะมาก ทั้งกระดูกกร๊อบแกร๊บ ร่างกายฟื้นตัวช้ากว่าสมัยเป็นมือปืนชนบท กลัวจะโดนปัก Death Flag ชะมัด
หลังจากศึกกำไลแห่งโศกผ่านไปคราวนี้แวกซ์ได้เขยิบมาทำหน้าที่ในรัฐสภา การเมืองจ๋าเลย แถมต้องโหวตร่างกฎหมายที่คานอำนาจระหว่าง Elendel กับ Malwish ปวดหัวตรงนี้ไม่พอ Harmony ยังส่งสารกลับมาเชิญชวน ด้วยงานสเกลใหญ่บะเอ้กระดับ Cosmere นี่พวกเราจะโดนมวลสารปริศนา Autonomy ยึดดาวดวงนี้แล้วเหรอ Harmony ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะโดนเนิฟไปแล้ว เริ่มมองอนาคตไม่เห็น แหม่ทำเป็น Facebook ปิดกั้นการมองเห็นไปได้ 5555 รวมถึงคู่อริ Telsin ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแวกซ์ก็กำลังพยายามซื้อใจ Autonomy ว่าพวกเราเอาที่นี่อยู่นะ พวกเจ้าไม่ต้องมายึดดาวดวงนี้หรอก เอาเข้าไป แวกซ์คงงงๆ แหละ นี่ฉันต้องมากู้โลกในสภาพร่างกรอบแกรบเตรียมเกษียณแบบนี้น่ะนะ 5555
ระหว่างนี้มันก็มีโมเมนต์น่ารักๆ ระหว่าง Steris กับ Wax ที่ทำให้คนอ่านแอบยิ้มไม่ได้
==Steris กับ Wax ใส่ชุดอันแสนเทอะทะเตรียมเข้าแล๊บทดลอง==
มารศรีมองชุดทั้งสอง: พวกเธอสองคนดูน่ารักจัง ❤️
หรือ
“เมื่อนั้นเมื่อ Wax พยายามจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของ Steris ให้มากขึ้น พยายามเข้าใจบรรยากาศการเมือง อ่านงบการเงิน ฯลฯ”
สภาพฉันหลังอ่านประโยคนั้นจบ: 🥹🥹🥹🥹🥹🥹🥹 น้ำตารื้นแป๊บ 5555
Brandon indica que ya terminado la revisión de Moment Zero y que lleva el 15% del trabajo previo para la novelización de Arena Blanca. Además, Isaac Stewart ha mostrado este precioso arte de Wax y Steris, de Cynthia Sheppard para la edición X aniversario de Bands of Mourning. pic.twitter.com/h3adwOdfqL
— Cosmere.es (@Cosmere_es) October 22, 2024
หวานหยดเกินนนน อร้ากก ช่วยด้วยยย 55555 (เป็นฉากในเล่ม 6 แต่ข้างบนไม่มีที่ให้แปะเลยต้องขอมาแปะตรงนี้แทน)
เป็นเล่มที่งงๆ เพราะจู่ ๆ ก็
คลิกเพื่อดูสปอย
เฉลยซะงั้นว่า Wayne มันรวยค่ดๆ แทบเป็นมหาเศรษฐีแต่ทำตัวบ่จี้มาตลอดเลยนะเอ็ง !กลางเล่ม ออกเดินทางลุยภาคสนามเช่นเคย งวดนี้แวะไปที่เมืองท่า Bilming เพราะมีเบาะแสว่ามีการลักลอบอาวุธที่นั่น นอกนั้นก็บู๊แหลกจ้า แถมด้วยการแลกเปลี่ยนวิทยาการของ Malwish กับ Allik ทำให้เดอะแกงค์มีของเล่นใหม่ๆ เช่นกล่องที่สามารถประจุพลัง Allomancy ไว้ใช้ในยามคับขันได้อีก
มินิบอสรอบนี้ของฝั่ง Wax & Wayne นี่มันไม่ธรรมดานะ เพราะมีร่างก็อปปี้ที่ฝึกออกมาเหมือนของเลียนแบบ Wax & Wayne จริงๆ คนนึงเป็นชายถึกที่มีทักษะใช้ปืนเหมือน Wax อีกคนเป็นหญิงสาวสวมหมวกใช้ไม้คู่คมแฝกเลียนแบบสำเนียงเก๊ๆของ Wayne อีก (ยังจะเลียนแบบกระทั่งสำเนียง 🤣🤣)
ด้วยความที่มันเป็นหนังสือ Cosmere ทฤษฎีระบบเวทย์มนตร์อันแปลกหูแปลกตาจึงมีกล่าวถึงเยอะมาก ไม่ว่าจะพลังงานที่มีชื่อว่า Investiture และพรรคพวกต่างๆ จากต่างดาว ตัวละครที่ไม่เคยเห็น นักท่องต่างโลกกลุ่ม Worldhopper ที่ผู้อ่านบางคนอาจเคยเห็นผ่านตาจากนิยาย Warbreaker เช่น Hoid หรือตัวละครชุดใหม่เอี่ยมอ่องที่เข้ามาแทรกแซงขบวนการยึดโลกของ Autonomy เพราะเหตุนี้ ตลอดเล่มจึงมีการแทรกทฤษฎี Cosmere ที่แต่เดิมทีมันก็ย่อยยากอยู่แล้วเข้ามา 🥴🥴 มารศรีเองก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในแกงค์นี้(ลุ้นเลย จะได้เข้าร่วมแกงค์ Worldhopper กับเค้าด้วยมั้ย) รวมถึงเส้นเรื่องการสืบคดีสไตล์แวกซ์ๆ
มุกตลกๆสไตล์เวรๆ ของ Wayne ยังแทรกมาตบกับ Wax ตลอดทั้งเล่มเช่น
(แปลแบบใส่ไข่เล็กน้อย)
เวน: ฟังนะ แผนการต่อไปนี้ที่เราจะปฏิบัติการคือแผนการกระต่ายไหม้ ! (Flamming Bunny)
แวกซ์:กระต่ายไหม้ ? คือยังไงนะ แกจะเผากระต่ายตัวเป็นๆ เรอะ?…
เวน: เปล่าาา ชั้นไม่มีกระต่ายเว้ย แต่ชั้นจะใช้แมวแทน
แวกซ์:ก็คือแกจะเผาแมวทั้งเป็น ?!
เวน:ไม่ดิ ! ชั้นจะเผาตึกแล้วโยนแมวตัวนี้ออกนอกหน้าต่างต่างหาก จากนั้นก็ทำเนียนเป็นพลเมืองดีช่วยแมวงัยยย เบี่ยงเบนความสนใจคนอื่นอ่ะ เก็ทมะ
แวกซ์:นี่เอ็งพกแมวมาถึงนี่เพื่อจะใช้ไอ้แผนนี้ !? ..เพื่อโยน-มัน-ออก-นอก-หน้า-ต่าง แค่นี้เนี่ยนะ !?!?
แน่นอนว่าเมื่อ Wax ออกมาทำภารกิจกู้โลกที่เอาไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่น่าเชื่อหู Steris จึงต้องแบกสถานการณ์ในสภาแทน Wax จากแต่เดิมที่เธอคอยสนับสนุน Wax อยู่ข้างหลัง ทีนี้เธอต้องมาเป็นช้างเท้าหน้า ตัดสินใจเองอะไรเอง หนังสือจึงมีช่วงเล่าสลับฝั่งของ Steris เดี่ยวๆ ด้วย กรี๊ดดดด 😍😍
ไคลแมกซ์เล่มนี้ ค่ดยาววว คือ 40% สุดท้ายของเล่มเลย (200 จาก 500 หน้า) เล่นใหญ่สมกับเล่มจบภาคจริงๆ 55555 สงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าได้ทำเป็นหนัง มันจะต้องแบ่งเป็น Part 1, Part 2 ด้วยมั้ย เพราะกินระยะยาวมาก
ฉากสู้มันส์เช่นเคย มันมีฉากไล่ล่าฉากนึง ฉากแวกซ์ไล่รถบรรทุก ที่อ่านแล้วให้ภาพซ้อนเลวี่ vs เคนนี่ใน Attack on Titan เหวี่ยงตึกกันมันจัดๆ
first 2023 post: levi ackerman vs kenny's squad iconic scene ✨ pic.twitter.com/aYb2xsq0hV
— levi content (@leviacontent) January 1, 2023
ฉากไล่แสนเดือดที่หมายถึง
และมีอีกฉากนึง ฉากไต่หอคอยเพื่อไปเผชิญหน้ากับ Telsin
ขำตอนบุกเข้าหอคอยมา
Wayne: เฮ้ย เราต้องเข้าฉากแบบเท่ๆ ชนกระจกตึกตู้มมมเข้าไปข้างในเด่ะ เท่ๆอ่ะ
Wax: แกอยากจะโดนกระจกบาดก็เชิญ ฉันฮีลตัวเองไม่ได้ แกก็แทบไม่เหลือพลังฮีลแล้ว และอีกอย่าง ประ-ตู-อยู่-ตรง-นั้น //ชี้ไปที่ประตู 😂
"One last threat."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) January 10, 2023
Wax and Wayne (Mistborn Era 2).
Artist: @/Lamaery (Tumblr). pic.twitter.com/teHYdGS4dd
ไปถล่มบอสกัน
โอ๊ยยย แม่ ฉากตะลุยหอคอยนี้เหมือนกลับไปดูฉาก Long Take สมัยหนังต้มยำกุ้ง จาพนม (ตัวอย่างฉาก) ตอนที่พี่แกต้องวิ่งตามบันไดขึ้นไปอัดลิ่วล้อทีละตัว เคสนี้เหมือนกันเลย Wax & Wayne ต้องไต่หอคอยเก็บเวล เอ้ย ! ไม่ใช่ ไต่หอคอย วิ่งไปหาลาสบอสเรานี่ล่ะ ทยอยอัดลิ่วล้อ หนังสือยังไม่หยุดอธิบายสังขารกรอบๆของแวกซ์ ที่เจ็บมือเลือดอาบแล้วแกก็ยังเจ็บวิ้งๆไม่หาย เฮ้อ สังขารคนเรานี่มันไม่เที่ยงจริงๆ บ่นเป็นคนแก่เลยฉัน 55555 ระหว่างทางก็ยังไปเจอ มินิบอส ร่างก็อป Wax&Wayne ในเรื่องมันเรียกตัวก็อปนี้ว่า not-Wax, not-Wayne(ไม่ใช่แวกซ์,ไม่ใช่เวน) โอ๊ย ตั้งชื่อกวนฟ่ะ 55555
แต่พอสองหน่อนี่สู้กับร่างก็อปที่มันรู้ไต๋แล้วก็เอาชนะไม่ได้หรอก ฝืนสู้ไปก็แพ้ทาง ว่าแล้วก็ใช้มุกสลับคู่สู้มันซะเลย ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนแช้ดกับอิชิดะสู้กับอารันคาร์ในเรื่องบลีชแล้วรู้ว่าเคมีไม่ตรงกันละ สลับคู่ดีกว่า พอสลับแล้วก็เริ่มสู้ได้เข้าท่าจริงเออ ชิงไหวชิงพริบกันจัดๆเลยตอนนี้
เป็นการอ่านที่ปลุกอดรีนาลีนในร่างให้พลุ่งพล่านจริงๆ 55555
ไคลแมกซ์ยิงยาวตั้งแต่ฉาก
คลิกเพื่อดูสปอย ไคลแมกซ์เล่ม 7 *ตรงนี้สปอยแรง*
แวกซ์ไล่ตามหาระเบิดเอย, มารศรีและแกงค์ Ghostbloods ไปเจอเหยื่อที่ถูกลักพาตัวไปอยู่พื้นที่ใต้ดินแถมโดนหลอกล้างสมองอีกว่าชีวิตบนดินมันตายไปหมดแล้ว OMG โปรเจกต์ล้างสมองกินระยะเกือบสิบปีแถมชาวบ้านพวกนี้ดันเชื่อสนิทใจจนมารศรีหว่านล้อมไม่ได้อีก ไหนจะมีโปรเจกต์ทดลองสร้างมนุษย์ Misting ด้วยการเสียบเหล็กเพื่อเติมพลังใหม่ๆให้กับหนูทดลองนั้น ๆ อีก เริ่มจะกู่ไม่กลับแล้ว
และไคลแมกซ์ตัวพีคที่ไม่ใช่ฉากสู้ดุเดือดเหมือนเล่มผ่านๆ มาแต่เป็นการถอดสลักระเบิดก่อนที่จรวดจะพุ่งเข้าใส่ตัวเมือง เอาล่ะเป็นไคลแมกซ์แข่งกับเวลาให้ชวนระทึกอีก แล้วใครจะไปยักรู้ว่าสุดท้ายผู้โชคดี Death Flag จะไปตกอยู่กับ Wayne บุคคลซึ่งมีพลังเหมาะสมในการถอดสลักนี้เพราะเป็น Slider ผู้มีพลังสร้างลูกโป่งเร่งเวลา พร้อมกับดีด Wax ลงใต้น้ำไปอีก แล้วระเบิดตู้มสวยๆ แหม่ จังหวะนี้ถ้าอยู่ในหนังแล้วใส่ดนตรีระทึกไปด้วยคงลุ้นกันเหยี่ยวเหนียวพอตัวเชียวล่ะ
ว่าแต่ว่านะ Wayne….วิญญาณแกกำลังจะไปสู่อีกหนึ่งภพภูมิแล้วแกจะถามแค่ว่า
นี่คือระเบิดที่เล่นใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยใช่ม้าาาา
แค่นี้จริงดิ…. เวนนี่มันเวนจริงๆ 555555
"One last time."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) November 13, 2022
Mistborn Era 2 crew.
Artist: @/Lamaery (Tumblr). pic.twitter.com/lfFFUweh9V
คงคิดถึงเดอะแกงค์นี้ไปอีกนานแสนนาน
ก่อนจะจบภาคนี้ มันปิดจบด้วยปัจฉิมบทที่ปาไป 7 ตอน เยอะชะมัด เป็นเส้นเรื่อง After Story ของหลายๆ ตัวละคร แถม Timeskip ต่างออกไป เช่นเป็นสัปดาห์เป็นเดือนเป็นปี มีพาร์ทที่
คลิกเพื่อดูสปอย
Kelsier คุยกับ Harmony ว่าสามารถสกัดธาตุ Lerasium ที่ทำให้เกิด Mistborn ได้รึยัง แถมยังแหย่อีกว่า Harmony นายให้ชาวโลกดาวดวงนี้พัฒนาช้าเกินไปนะ ขืนทำตัวช้าแบบนี้ อนาคตโดนยึดดาวจริงๆ แน่ ด้วยความรักดาว Scadrial ดวงนี้ (ดาวในซีรีส์ Mistborn นี้ชื่อ Scadrial) ของ Kelsier พี่แกคงมีแผนในใจที่จะเร่งให้วิทยาการดาวดวงนี้แซงหน้าในระดับเอกซ์โปเนนเชียลมากขึ้น เป็นแนวคิดที่สวนทางกับ Harmony ที่อยากให้มนุษย์ชาติค่อยๆ ค้นพบเทคโนโลยีในจังหวะการเรียนรู้ของตัวเองโดยไม่อาศัยตัวเร่งนี่จะไปลงล็อคกับที่นักเขียนเกริ่นไว้ว่า Mistborn ภาค 3 จะเป็น Space Opera (ลิเกอวกาศ) ถึงตอนนั้นคงเตรียมข้ามดาวกัน มียานยิงเป็นพลัง Allomancy กันได้เลย เล่นใหญ่จริงๆ 5555 ตามไทม์ไลน์ ต้องรอแบรนดอนเขียน Stormlight Archive เล่ม 5 ให้จบซึ่งเป็นช่วงจบเนื้อเรื่ององก์แรกของซีรีส์ SA ก่อนที่จะแวะกลับมาเยี่ยม Mistborn ภาค 3 และเล่มต่อของ Warbreaker, Elantris แหม่ เมก้าโปรเจกต์อลังการดาวล้านดวงจริงๆ นักเขียนคนนี้
🚨 จุดหักคะแนนของเล่ม 7
อย่างว่า เล่มนี้มันเป็นหนังสือ Cosmere ทฤษฎีหนักที่สุดในบรรดาตระกูล Mistborn ทฤษฎี Cosmere นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ซะด้วย เหมือนอ่านทฤษฎีควอนตั้มสักอย่าง แฮ่ ยิ่งถ้าคุณไม่ได้อ่านเล่ม 6.5—The Secret History มาก่อนแล้วอ่านเล่ม 7 ก็คงงงไก่ตาแตกกับเนื้อเรื่องของ
คลิกเพื่อดูสปอย
Kelsier หรือตัวละครแซมๆ อย่าง Hoid แม้เราจะไม่ได้อ่าน SA มาก่อนแต่เหมือนจะมีตัวละคร Worldhopper ที่มาจากฝั่ง SA ด้วย เราอ่านแค่ Warbreaker, Elantris เลยพอคุ้นเคยกับ Hoidใครที่ตามเก็บซีรีส์อื่นมาก่อนคงสนุกในการเจอ Easter Eggs ข้ามซีรีส์กันคล้ายๆ เวลาดูหนัง Marvel แต่อีกหนึ่งข้อเสียคือเราก็ไม่อยากให้มันอิงการ Crossover เกินไปจนสูญเสียเอกลักษณ์ในการเป็นซีรีส์ยืนเดี่ยวของมัน(ความ Standalone) เพราะคงมีคนอ่านหลายท่านที่คงไม่อยากไปตามเก็บหลายๆ เล่ม บางคนก็คงอยากอ่านแค่ Mistborn ชุดเดียว แม้ The Lost Metal จะยังไม่พบปัญหาหนักในการสูญเสียความ Standalone ไปขนาดนั้น แต่เป็นหัวข้อที่แบรนดอนต้องรักษาสมดุลให้ดีในอนาคตเพราะถ้ามีจุดร่วมเยอะจนหนักไปในทาง “พึ่งพาอาศัยกันและกัน” มากเกินไป อาจทำให้ผู้อ่านจำนวนหนึ่งเหนื่อยตามซีรีส์นี้ก็เป็นได้
คะแนนหนังสือชุดภาคสอง (★★★★☆)
หนังสือชุดสี่เล่ม ทางภาษาอังกฤษจะเขียนว่า Quadrilogy แต่พอมาเป็นภาษาไทยว่าจตุภาคแล้วมันดูเป็นศัพท์ทางคณิตศาสตร์ยังไงไม่รู้สิ จึงขอเขียนว่าหนังสือชุดภาคสองละกัน 5555
✅ สรุป รีวิว หนังสือ Mistborn ภาค 2 (ไม่สปอย)
Mistborn 2 เป็นหนึ่งซีรีส์สนุกๆ ชุดตัวละครหลักมีความโตขึ้น ไม่ใช่วัยรุ่นกู้โลกแล้วแต่เป็นตาลุงกู้โลก สังคมมีวิวัฒนาการศิวิไลซ์มากขึ้น เคมีและพลวัตตัวละครดูสนุกไหลลื่น เดอะแกงค์มีเสน่ห์มากกว่าตัวละครในคณะของนางเอกภาคแรก ลูกเล่นระบบเวทย์มนตร์แพรวพราวกว่าเดิม ปมเนื้อเรื่องดราม่าเล่นได้ถึงใจคนดูจนอ่านจบทีนั่งหงอยเป็นหมาของจริง แอ๊คชั่นดุเด็ดเผ็ดมันส์แสนอร่อยเหาะ จะเสียก็ตรงคะแนนของเล่มสุดท้ายที่อิงทฤษฎี Cosmere ซะเยอะ เพราะมันต้องเอาไปต่อยอดภาค 3 จนกลิ่นความเป็น Mistborn ถูกลดน้ำหนักลงไปและสามารถมองให้เป็นข้อด้อยได้ แต่ถึงกระนั้นแฟนๆ ตระกูล Mistborn ที่ติดอกติดใจในโลหะศาสตร์ไปแล้ว ภาคนี้เป็นอีกภาคที่คุณควรตามเก็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนงานของ Brandon Sanderson จนเริ่มโงหัวไม่ขึ้นซะแล้ว
ก่อนจบกันไป ขอปิดท้ายเพลง Space Lion ดนตรีประกอบจากอนิเม Cowboy Bebop(โพสรีวิวอนิเม) มันช่างเป็นเพลงที่เหมาะเจาะ ชวนคูลดาวน์เหมาะแก่การนั่งฟังระหว่าง End Credit เหมือนเวลาหนังจบ แต่อันนี้คืออ่านหนังสือจบ
สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนนนนน แล้วพบกันใหม่ในภาค 3 🪐🪐🪐
🚨 ภาค 3 เล่ม 8-10 เตรียมเลย 2028 !
ซีรีส์นี้ยังกะลูกรักลุง Brandon แกมีแผนในชีวิตว่าหลังเขียนภาค 2 จบจะเปิดทางไปภาค 3 โดยให้ภาค 3 เป็นแนวไซไฟ Space Opera (ชาวเน็ตเคยนิยามเป็นคำไทยว่ามันเท่ากับ ลิเกอวกาศ 555) จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องรีบตามอ่านเพราะกลัวลุงแซงหน้าไปไกลนี่แหละ ยัง ! ยังไม่พอ ลุงบอกเตรียมภาค 4 แต่ละเล่มให้ความยาวพอๆกับ Stormlight Archive เลย(เล่มละพันหน้า) ตามอ่านไม่ทันล้าววว 🤣🤣🤣🤣
และล่าสุดในช่วงธันวา 2024 ในเว็บไซต์อัปเดต Roadmap การทำงานของแบรนดอน “State of Sanderson 2024” ได้อัปเดตอย่างชัดเจนมากขึ้นว่าจะออก Mistborn ภาค 3 (เล่ม 8-10) ในปี 2028-2031 สลับวางแผงกับ Elantris เล่ม 2-3 เคียงคู่กันไป (หากไม่มีการเลื่อนออกไปน่ะนะ) โดยตอนนี้ เค้าใช้ชื่อเรียกให้เข้าใจตรงกันไปก่อนว่า Ghostbloods (ซึ่งในอนาคตอาจมีเปลี่ยนชื่อทีหลังได้)
ขอบคุณท่านผู้อ่านที่แวะมาอ่าน รีวิว Mistborn 2 ฉบับยาวเหยียดนี้ สำหรับใครที่อยากคุยกันต่อ ตามมาคุยกันได้ใน About Me หรือ Goodreads
แหล่งซื้อหนังสือ + บทความอื่นๆ
🪐 รีวิวผลงานอื่นๆ ของ Brandon Sanderson
📚 ซื้อหนังสือ Mistborn แบบเล่มภาคแรกภาษาไทยบน Shopee | Shop ของสำนักพิมพ์แปลไทย
📚 มีรีวิวรายเล่มของเราฉบับภาษาอังกฤษอยู่บน Goodreads ด้วยเช่นกัน เล่ม 4 | เล่ม 5| เล่ม 6 | เล่ม 7
🏀 บล็อกหัวข้อกีฬา คลิก | 📖 รีวิวBook หนังสือ |🎧 รีวิว Music ดนตรี | 📺 Anime อนิเมะ
รีวิว Mistborn 2