รีวิว Mistborn มิสบอร์น นิยาย ภาค 2 Wax&Wayne [เล่ม 4-7] สิงห์ปืนไวกับไอ้หนุ่มคมแฝก [คลุมสปอย]
รีวิว mistborn 2
🎩 ในที่สุดก็อ่าน Mistborn 2 จบจนได้รวบยอดรีวิวซะททที๊ (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Mistborn Era 2) อย่างที่เกริ่นไปบล็อกโพสก่อนหน้านี้ภาคแรก(รีวิวมิสบอร์นภาค ๑) ที่ว่าเล่ม 7 จะออกในเดือนพฤศจิกายนปี 2022 มันเลยทำให้เราต้องรีบไปอ่านให้จบเพราะเราก็ไม่อยากจะโดนทิ้งห่างไปมากกว่านี้ 555 แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหรอก กะอ่านแค่ภาค 1 แล้วแยกย้าย แต่กลายเป็นว่าพอมีโอกาสอ่านภาคนี้จริง ๆ เรากลับชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกอีก เป็นภาคที่ตอนแรกคนเขียนตั้งใจให้มันเป็นแค่เล่มเดียวจบด้วยคือ The Alloy of Law แต่นิสัยเจ้าโปรเจกต์แบรนดอนน่ะนะ (พวกราศีธนู ตั้งเป้าหมายไม่หยุดหย่อน 555) ไปๆ มาๆ งอกมาจบที่เล่ม 7 ซะได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้ยาวกว่านี้ เข้าเนื้อหารีวิวกันเลย !
บทความนี้มีการคลุมสปอยบางส่วน โดยสามารถกด Popup เพื่อเปิดปิดได้
ถ้าหากผู้อ่านต้องการหลบสปอยเนื้อหาสำคัญทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย สามารถเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่มีสัญลักษณ์✅ อยู่ด้านหน้า
และสัญลักษณ์🚨 คือมีการสปอยเนื้อหาสำคัญ
⚡ หมายเหตุ คำไทยที่แปลในที่นี้คือเราแต่งขึ้นมาเอง(เพื่อความอรรถรส) ซึ่งไม่ใช่ชื่อออฟฟิเชียลของฉบับแปลไทย
ทางสนพ. Words Wonder แย้มมาว่ามีแผนจะแปลภาคนี้เช่นกัน รอดูท่าทีกันต่อไป⚡
เล่ม 4 — The Alloy of Law มือปืนเหล็กไหล (ชื่อไทยไม่ออฟฟิเชียล)


(เล่ม 1 ของภาค 2) ถ้าจะแปลชื่อให้นรกกว่านี้ก็คงเป็น กฎเหล็ก 5555 เฮ้ออออ
✅ เนื้อเรื่องย่อเล่ม 4 (สปอยเล่ม 1-3)
ภาคสองเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ภาคแรกให้อารมณ์ยุคโลหะ ภาคสองกระโดดมา 300 ปีถัดมา ให้บรรยากาศยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมสตีมพังค์ที่บวกกลิ่นคาวบอย มีรถม้า เครื่องจักรไอน้ำ ปืน กลิ่นอายซีรีส์ย้อนยุคศตวรรษที่ 18-19 อารมณ์ The Alienist หรือ Penny Dreadful โลกยังคงใช้ระบบเวทย์มนตร์ Allomancy ที่มีพัฒนาการ มีคุณสมบัติหลากหลายขึ้น ชุดตัวละครหลักคู่หูฮาเฮภาคนี้มีชื่อเล่นว่า Wax & Wayne คิดว่าคนเขียนตั้งใจตั้งชื่อสองคู่หู แวกซ์/เวน เพื่อพ้องเสียงกับ Wax/Wane—ข้างขึ้น/ข้างแรม
Waxillium Ladrian (แวกซิเลียม เลเดรียน) ตำรวจมือดีผู้เจอโศกนาฏกรรมแผลใจจนต้องทิ้งชีวิตโลดโผนล่าผู้ร้ายที่ชทบท (Roughs) มาเข้าสังคมขุนนางในเมืองใหญ่ ไม่นานนักอดีตคู่หูตัวกวน Wayne (เวน ถึงบางครั้งมันจะทำตัวชวนเวรตะไลก็ตามที -_-) ก็โผล่มาพร้อมโยนคดีคนหาย ชวนปวดหัวที่เชื่อว่ามีแค่ตาแวกซ์เท่านั้นที่จะไขคดีได้ แต่แล้วคดีก็ชักพัวพันกับการใหญ่ที่เกินคาดคิดซะได้นี่ (พัวพันกับอะไรแบบนี้ตลอดอ่ะ)
🚨 ความรู้สึกหลังอ่านเล่ม 4 จบ (สปอยเล่ม 4)
ด้วยความที่มันเป็นเล่มแรกประจำภาค หนังสือจึงพาคนอ่านไปรู้จักกับสังคมเซตติ้งในโลกปัจจุบันว่ามันแตกต่างจากโลกที่สมัย Vin/Elend อยู่ยังไงก่อน เมืองไม่มีฝุ่นขี้เถ้าร่วงลงมาแล้ว โลหะศาสตร์ Allomancy พัฒนาการขึ้นกว่าเดิม ยุคนี้ไม่มี Mistborn แล้วแต่อย่างน้อยการมี Twinborn—ผู้ใช้ได้สองศาสตร์ถือเป็นเรื่องปกติ โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นพลังของฝั่ง Allomantic (พลังที่ Vin ใช้) อีกหนึ่งพลังจะเป็น Feruchemical (พลังกักเก็บไว้ใช้ทีหลังอย่างที่ Sazed ใช้) เช่น Wax ที่มีพลัง Coinshot+Skimmer คือมีพลังผลักโลหะกระเด็น+กักเก็บสำรองมวลน้ำหนักได้ พอเอาสองพลังนี้มาผสานกันแล้วประยุกต์ได้หลายท่าเลยล่ะ เช่นยิงกระสุนปืนออกไปแล้วเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองมีน้ำหนักในการผลักมากขึ้น เป็นคอมโบที่แกร่งจัดๆ ส่วนคู่หูจอมป่วน Wayne มีพลัง Slider+Bloodmaker คือสามารถสร้างลูกโป่งที่ข้างในเวลาเร็วกว่าข้างนอก+กักเก็บพลังชีวิตฟื้น HP ได้ แหม่สมัยนี้มีพลังใหม่อย่างการสร้างลูกโป่งมาเร่ง/ชะลอ เวลากับเค้าแล้วด้วย เอ้อออ
พอพูดถึงคู่หูฮาเฮลักษณะนี้ แทบจะเป็น Stereotype ที่มันต้องมีคนนึงออกแนวมาดเท่สุขุม อีกตัวต้องสายฮาสายตบเหมือนเอามาตัดเลี่ยน เช่นหนัง Rush Hour ที่เฉินหลงเล่นกับ Chris Tucker ซึ่งก็ไม่เข้าใจทำไมมันเข้าสูตรนี้ตลอด 55555 ถึงจะรำคาญนิสัย Wayne ที่ขยันกวนบาทาคนอื่น แต่พี่แกก็มีฝีมือมีประโยชน์กับเค้าเหมือนกันล่ะ เพราะเรื่องปลอมตัวเลียนสำเนียงท้องถิ่นเก่ง บุคลิกแบบนี้แฟนๆ หลายคนชอบนะแต่คงไม่ใช่กับเรา ฮา แต่เอาเถอะ ตามน้ำเค้าไปหน่อยแล้วกัน และถึง Wayne จะมีกฎเหล็กเป็นคนไม่ใช้ปืนก็ตามที(เหตุผลอะไรต้องไปตามอ่านเอา) แต่ฝีมือลายมือการใช้กระบอง(Dueling Cane)ก็ไม่เบาเชียวล่ะ เราเลยเรียกขำๆ ในชื่อบล็อกว่าไอ้หนุ่มคมแฝก 5555 จริงๆ อาวุธของ Wayne มันไม่ใช่ไม้เหลี่ยมคมแฝกแบบในละครช่อง 3 แต่เป็นกระบองต่อสู้เฉยๆ
"Golden trio."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) March 25, 2021
Marasi, Wax and Wayne (Mistborn era 2).
Artist: @/artofjulesblog (Tumblr). pic.twitter.com/ZM7m8YBmgQ
นิยายเข้าสู่สูตรเดิมของคนเขียนแบรนดอนคือเล่าเรื่องอย่างช้าๆ แนะนำตัวละครพอให้รู้จัก Wax ผู้ทิ้งชีวิตตำรวจชนบทและเหตุการณ์แสนปวดใจมาเข้าเมืองหลวงในสังคมผู้ดีตามที่ทายาทตระกูล Ladrian ควรจะพึงปฏิบัติ ต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชนเพื่อรักษาสถานภาพของวงศ์ตระกูลกับครอบครัว Harms ที่ลูกบ้านมี Steris (สเตอริส) และ Marasi (อ่านว่ามาราซี่แต่เราติดเรียก มารศรี 55555) มีคดีคนหายเกิดขึ้นที่นับวันคนหายแล้วหายเล่า ไปๆมาๆ Steris โดนลักพาตัวกับเค้าด้วยเช้ยย เวรกรรม ระหว่างสองคู่หูสืบคดีก็ไปจ๊ะเอ๋ตัวร้ายอย่าง
ฉากสู้เมามันส์เช่นเดิม ไม่ใช้มีดปา มีดฟัน ยิงเหรียญแบบสมัยก่อนแล้ว ยิงปืนแทนและไม่ต้องใช้มุกเผาพลัง Atium ผีเห็นผี ต่างคนเห็นอนาคตยึกยักๆ ลีลาอีกแล้วเพราะงวดนี้มันไม่มีใครมีพลังเห็นอนาคตกัน (แต่มีเร่ง/ชะลอเวลาได้) มันก็ต่อยยิงกันจังๆ บ้านๆ นี่ล่ะ บู๊กันมันส์หยดไม่ว่าจะดวลเตะต่อยตัวต่อตัว สู้บนรถไฟ หรือเดอะแกงค์ธรรมะไล่ปราบลิ่วล้อผู้ก่อการร้าย ฉากที่โปรดปรานมากคือ
หนังสือปิดจบปมย่อยประจำเล่ม พร้อมทิ้งปลายเปิดเล็กน้อย
จะเสียดายที่เล่มนี้มันเน้นเดินเรื่องมากกว่าพาไปรู้จักปูมหลังและนิสัยลึกๆ ของตัวละคร เลยยังไม่ค่อยอินกับใครเท่าไหร่ นอกจากมารศรีที่ดูเป็นสาวสตรองและ Steris ผู้แสนจืดจาง แหม่ ก็ตอนแรก The Alloy of Law ถูกออกแบบมาให้เป็นเล่มเดียวจบด้วยล่ะนะ


เล่ม 5 — The Shadows of Self เงาพราง
(เล่ม 2 ของภาค 2)
🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 5 (สปอยเล่ม 4)
หลังจากเผชิญหน้าและ
🚨 ความรู้สึกหลังอ่านเล่ม 5 จบ (สปอยเล่ม 4-5)
อย่างที่เคยคุยไว้ในบล็อกโพสภาคแรกว่า เล่มสองมันเป็นตัวเชื่อมระหว่างเล่มแรกไปเล่มจบ เล่มนี้ใกล้เคียงกัน ไคลแมกซ์ไม่ได้ดุเดือดเหมือนฉากสู้กับบอสประจำเล่มในเล่มก่อนหน้าด้วย แต่เล่มนี้เด่นมากในการพาไปสำรวจตัวละครให้มากขึ้น แหมก็มีเวลาให้เล่าแล้วน่ะนะ แถมเข้าใจขยี้ปมอดีต Wax ให้คนอ่านรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามไปด้วย
สงครามประสาทไว้ใจครั้งไม่ได้เหมือนสมัย Mistborn ภาคแรกที่
นอกจากมี Harmony ให้คนดูกรี๊ดกร๊าดกัน และ Marsh ในท้ายเล่มที่แล้ว เล่มนี้มีแขกรับเชิญ Tensoon เข้ามาอีก มีแต่ตัวอายุยืนทั้งนั้นอ่ะ ตัวอื่นม่องเท่งไปแล้ว 5555
ตัวละครใหม่ที่เข้ามาร่วมเดอะแกงค์ Wax & Wayne คือ MeLaan คานดร้าอายุน้อย ที่ Harmony ดึงให้มาช่วยปราบ Paalm อีกราย
ในโลกใบใหม่นี้ยังคงมีปัญหาเดิมๆ คือความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ปัญหาชนชั้นล่างประท้วง ซึ่งตลกดีที่ Vin/Kelsier ในภาคแรกพยายามต่อสู้ให้เหล่า Skaa ลืมตาอ้าปากได้แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมาที่ปัญหาเดิมๆ และด้วยความที่ Wax เป็นลูกในตระกูลขุนนาง เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากรับฟังคำบอกเล่าจาก Steris ถ้าหนังสือเพิ่มมิติอีกตัวละครที่เป็นชนชั้นล่างด้วยคงสนุกดี แต่หนังสือเล่มนี้คงจะยาวขึ้นอีกเป็นแน่แท้
แม้จะบอกว่าเล่มนี้ไคลแมกซ์ไม่ได้บู๊กันดุเด็ดเผ็ดมันส์ก็ตามที แต่มันเจ๋งมากในแง่ของเล่นกับหัวจิตหัวใจคนดูและตัวละคร Wax เพราะ
ฉากที่ Wax ยังคงโคม่าทางใจอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียว ไฟจากเตาผิงปะทุเป็นระยะๆ ชั่วโมงนั้น Steris อยู่ข้างๆ Wax ในห้อง เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขามากนอกจากอยู่เคียงข้างเขา ให้ Wax ซบไหล่…และ Wax ก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ ท่ามกลางกองฟืนที่ค่อยๆ มอดไหม้… 😭 มีนักวาด Elisgardor วาดรูปประกอบ Fanart ฉากนี้ไว้ได้เหมาะสมมาก คลิกๆ
เรายกให้เนื้อเรื่องส่วนนี้คือเดอะเบสในใจเราในการเล่นกับหัวใจคนดูและความสัมพันธ์เป็นพิเศษ แม้ ____ กับ Wax จะไม่ได้ถูกเล่าเยอะในหนังสือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะเทือนใจคนดูได้พอสมควรทีเดียวเชียวล่ะ


เล่ม 6 — The Bands of Mourning กำไลอมทุกข์ (ห๊ะ?..555)
(เล่ม 3 ของภาค 2) จะแปลว่ากำไลแห่งทุกข์ กำไลแห่งโศกไรงี้ก็ได้มั้ย 555555 ไม่เป็นไร เราซับนรกไว้ก่อน
🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 6 (สปอยเล่ม 4-5)
หลังจากเหตุ
โศกนาฏกรรมอันสะเทือนขวัญได้จบลงไป Harmony ยังคงส่งภารกิจใหม่มาให้ Wax ในครั้งนี้ (ใช้คนเก่งจังอ่ะเรา) ฝั่งคานดร้าพบเบาะแส Bands of Mourning — กำไลแห่งโศก เครื่องประดับในตำนานที่ว่ากันว่ามันเคยเป็นของเจ้าแผ่นดิน (Lord Ruler) และจะมอบพลังไร้เทียมทานให้กับผู้สวมใส่ Wax และคณะต้องเดินทางสู่นครทางใต้ New Seran และเผชิญหน้าองค์กรที่มีเป้าหมายเดียวกัน The Set บงการโดยลุงของเขา Edwarn
🚨 ความรู้สึกหลังอ่านเล่ม 6 จบ (สปอยเล่ม 4-6)
วนเวียนในเมืองหลวง Elendel กันเนิ่นนาน (แหม่ ไม่รู้เลยว่าชื่อเมืองเรฟมาจากใคร) ในที่สุดเล่มนี้ก็ได้เปลี่ยนเซตติ้งกันสักที !
สองเล่มที่ผ่านมาเราๆ รู้จักเดอะแกงค์สี่คนไปอย่างดีแล้ว เหลือแต่ Steris ที่ยังงงๆ อยู่ว่าเจ้าตัวเป็นแค่ตัวละคร fill-in ใส่มาเพราะคลุมถุงชนเฉยๆ รึเปล่านี่ ดูยังไงมารศรีก็มีบทเด่นกว่าชัดๆ
ไปๆ มาๆ งวดนี้แบรนดอนเติมบทให้ Steris แซงทุกโค้งเลยจ้า ทำให้คนดูรู้จักนางมากขึ้น ทั้งนิสัยยอดนักวางแผนสำรอง แผน 2,3,4 นางเริ่มทำคะแนนตั้งแต่ช่วงขึ้นรถไฟลงไปทางใต้เลย เริ่มคุยกับ Wax แล้ว Wax ถามว่าอ่านอะไรอยู่ 😏😏 จนถึงตอนช่วยสอน Wax อ่านบัญชี ตอนเจอโจรป่าไฮแจ๊ครถไฟอีก สู้กันบนรถไฟทีไรมีอะไรให้สนุกทุกทีสิน่า 55555 ไหนจะฉากดิ่งพสุธาไปช่วย Steris ที่พลัดตกจากรถไฟอีก กรีสสสสส แล้ว Wayne กับ MeLaan หายไปไหน !? อ้ออออ หนีหายไปจู๋จี๋หลังขบวนจ้าาา โว้ยยย คนเค้าเป็นห่วงนึกว่าโดนลักพาตัว !! 🤣🤣🤬
Steris ช่วยเติมเต็มทักษะหลายๆ ส่วนที่ Wax ขาดหาย ก็ Wax เก่งแต่เรื่องสู้ๆ อ่ะ จะให้เข้าสังคมสุงสิง พูดจาเล่นพวกเล่นลิ้นแกก็ไม่เก่งหรอก ไม่ค่อยรู้เรื่องสายป่านตระกูลขุนนางด้วย Steris มาเติมจุดอับตรงนี้ได้ดี แถมช่วยเนียนๆ กับ Wax ได้อีก ฉากงานเลี้ยงที่เจอประจำในภาค 1 ในที่สุดภาคนี้เราก็ได้เห็นฉากนี้อีกครั้ง (ว่าแต่น้ำสีเหลืองนั่นมันคืออะไรก่อน เห็นนะสเตอริสว่าแอบกินไป 2 แก้วอ่ะ 55555)
Wax and Steris (Mistborn era 2).
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) August 3, 2021
Artist: @/artbyjuliajm (Instagram). pic.twitter.com/NJnK5PiIFN
นอกจากล่องใต้กันแล้ว องค์กร The Set และ Edwarn เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มีลัทธิศาสนาความเชื่อเข้ามาเอี่ยวตามสไตล์แบรนดอน อย่างเช่น Trell เทรลคือใครกัน ทำไมถึงมีคนบูชา? ไหนจะพี่สาวของแวกซ์—Telsin ที่พลัดพรากจากกันมาตลอด แล้วนั่นอะไร ชายผู้มีหน้ากาก เรือบิน !!?? อมก เทคโนโลยีเริ่มล้ำขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นวิทยาการที่ฝั่งแวกซ์ก็สตั๊นไปตามๆ กัน ไอ้สิ่งปลูกสร้างนี่มันอะไรกันครับนนนี่
ช่วงไคลแมกซ์รันคิวกันสนุกมาก ทั้งฉากเข้าวัดตะลุยดันเจี้ยน สู้กับศัตรู และเป็นอีกครั้งที่แบรนดอนเขียนให้คนดูสิ้นหวังอีกแล้ว 5555 เพราะศัตรูแสนจะ OP (Overpowered) ทำเอาฝั่งพระเอกแล้วสภาพเละตุ้มเป๊ะไปไม่เป็น
ไหนจะ Wax แว้บไปเจอ Harmony ในชีวิตหลังความตายแล้ว เธอคนนั้นก็ฝากบอก Harmony มาอีกว่า “ฝากดูแล Wax ด้วยนะ” 🥹🥹🥹🥹
"Can you forgive me?"
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) May 14, 2021
Wax and Harmony (Mistborn era 2)
Artist: @/conjchamberlain (Instagram). pic.twitter.com/KQX2dyAPUa
เป็นเล่มที่เปิดสเกลของซีรีส์ให้ใหญ่มากขึ้น ฟีลลิ่งเหมือน Hunter x Hunter เปิดตัวทวีปมืด นี่ก็เปิดตัวดินแดนแห่งใหม่ที่เหล่าพระเอกไม่รู้จัก
ในปัจฉิมบท


เล่ม 7 — The Lost Metal โลหะที่สาบสูญ
(เล่มจบของภาค 2)
จากเหตุผลในสปอยด้านบน อีกทั้งเล่มนี้ถูกโฆษณาแต่แรกว่ามันเป็นหนังสือทฤษฎี Cosmere (จักรวาลหนังสือแบรนดอนที่มีการครอสโอเวอร์กับนิยายซีรีส์ตัวอื่นๆ ของเขาด้วย) เราจึงแนะนำอย่างยิ่งยวดว่าให้ไปอ่านเล่มเสริม Mistborn: The Secret History ก่อนเพราะเป็นเล่มภาคเสริมที่มีเนื้อหาระหว่างเล่ม 3 กับเล่ม 6 อีกทั้งปัจฉิมบทเล่ม 6 ก็เป็นปลายเปิดสู่เนื้อเรื่องของ The Secret History พอดี เล่มนี้มันเกี่ยวกับ
"Alone in the Well."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) April 6, 2022
Kelsier (Mistborn).
Artist: @/lamaery (Tumblr). pic.twitter.com/zJLjWNvvIY
อีกอย่างถ้าอ่านเล่ม 6 จบแล้วมาต่อเล่ม 7 ทันทีเลยต้องมีงงและเซอร์ไพรส์ประเด็นนึงแน่ ๆ ที่ว่า
🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 7 (สปอยเล่ม 4-6)
ดินแดน
พูดถึงคดีลักพาตัวที่ยังไม่ปิดแฟ้ม เริ่มพอจับทางได้แล้วว่าเป็นฝีมือ The Set, Trell คือใครกันแน่, Telsin พี่สาวของแวกซ์มีแผนการอะไร Harmony ที่เริ่มสูญเสียพลังพระเจ้า วิกฤตการณ์ที่ดาวดวงนี้กำลังจะถูกช่วงชิงจากมวลสารปริศนา เป็นอีกครั้งที่ Wax ในฐานะดาบของพระเจ้า—Harmony ในร่างสังขารกรอบกว่าที่ผ่านมาต้องลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้ง..เพื่ออิสรภาพของดาวดวงนี้ !
🚨 ความรู้สึกหลังอ่านเล่ม 7 จบ (สปอยเล่ม 4-7)
มาถึงเล่มนี้ก็ Timeskip กันเลย
Wax กับ Steris มีลูกสองคนแล้วกรี๊ดด แต่ตั้งชื่อลูกได้ง่ายดี โถโถ เล่มนี้รู้สึกหนังสือเน้นย้ำเรื่องสังขารแวกซ์มากเลย จะตายไม่ตายเนี่ย พี่แกบ่นเยอะมาก ทั้งกระดูกกร๊อบแกร๊บ ร่างกายฟื้นตัวช้ากว่าสมัยเป็นมือปืนชนบท กลัวจะโดนปัก Death Flag ชะมัด
หลังจากศึกกำไลแห่งโศกผ่านไปคราวนี้แวกซ์ได้เขยิบมาทำหน้าที่ในรัฐสภา การเมืองจ๋าเลย แถมต้องโหวตร่างกฎหมายที่คานอำนาจระหว่าง Elendel กับ Malwish ปวดหัวตรงนี้ไม่พอ Harmony ยังส่งสารกลับมาเชิญชวน ด้วยงานสเกลใหญ่บะเอ้กระดับ Cosmere นี่พวกเราจะโดนมวลสารปริศนา Autonomy ยึดดาวดวงนี้แล้วเหรอ Harmony ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะโดนเนิฟไปแล้ว เริ่มมองอนาคตไม่เห็น แหม่ทำเป็น Facebook ปิดกั้นการมองเห็นไปได้ 5555 รวมถึงคู่อริ Telsin ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแวกซ์ก็กำลังพยายามซื้อใจ Autonomy ว่าพวกเราเอาที่นี่อยู่นะพวกเจ้าไม่ต้องมายึดดาวนี้หรอก เอาเข้าไป แวกซ์คงงงๆ แหละ นี่ฉันต้องมากู้โลกในสภาพร่างกรอบแกรบเตรียมเกษียณแบบนี้น่ะนะ 5555
ระหว่างนี้มันก็มีโมเมนต์น่ารักๆ ระหว่าง Steris กับ Wax ที่ทำให้คนอ่านแอบยิ้มไม่ได้
==Steris กับ Wax ใส่ชุดเตรียมเข้าแล๊บทดลอง==
มารศรีมองชุดทั้งสอง: เธอสองคนน่ารักจัง
หรือ
“เมื่อนั้นเมื่อ Wax พยายามจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของ Steris ให้มากขึ้น พยายามเข้าใจบรรยากาศการเมือง อ่านงบการเงิน”
สภาพฉันหลังอ่านประโยคนั้นจบ: 🥹🥹🥹🥹🥹🥹🥹
เป็นเล่มที่งงๆ เพราะจู่ ๆ ก็
กลางเล่ม ออกเดินทางลุยภาคสนามเช่นเคย งวดนี้แวะไปที่เมืองท่า Bilming เพราะมีเบาะแสว่ามีการลักลอบอาวุธที่นั่น นอกนั้นก็บู๊แหลกจ้า แถมด้วยการแลกเปลี่ยนวิทยาการของ Malwish กับ Allik ทำให้เดอะแกงค์มีของเล่นใหม่ๆ เช่นกล่องที่สามารถประจุพลัง Allomancy ไว้ใช้ในยามขับขันได้อีก
มินิบอสรอบนี้ของฝั่ง Wax & Wayne นี่มันไม่ธรรมดานะ เพราะมีร่างก็อปปี้ที่ฝึกออกมาเหมือนของเลียนแบบ Wax & Wayne จริงๆ คนนึงเป็นชายถึกที่มีทักษะใช้ปืนเหมือน Wax อีกคนเป็นหญิงสาวสวมหมวกใช้ไม้คู่คมแฝกเลียนแบบสำเนียงเก๊ๆของ Wayne อีก (ยังจะเลียนแบบกระทั่งสำเนียง 🤣🤣)
ด้วยความที่มันเป็นหนังสือ Cosmere ทฤษฎีระบบเวทย์มนตร์อันแปลกหูแปลกตาจึงมีกล่าวถึงเยอะมาก ไม่ว่าจะพลังงานที่มีชื่อว่า Investiture และพรรคพวกต่างๆ จากต่างดาว ตัวละครที่ไม่เคยเห็น นักท่องต่างโลกกลุ่ม Worldhopper ที่ผู้อ่านบางคนอาจเคยเห็นผ่านตาจากนิยาย Warbreaker เช่น Hoid หรือตัวละครชุดใหม่เอี่ยมอ่องที่เข้ามาแทรกแซงขบวนการยึดโลกของ Autonomy เพราะเหตุนี้ ตลอดเล่มจึงมีการแทรกทฤษฎี Cosmere ที่แต่เดิมทีมันก็ย่อยยากอยู่แล้วเข้ามา 🥴🥴 มารศรีเองก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในแกงค์นี้(ลุ้นเลย จะได้เข้าร่วมแกงค์ Worldhopper กับเค้าด้วยมั้ย) รวมถึงเส้นเรื่องการสืบคดีสไตล์แวกซ์ๆ
มุกตลกๆสไตล์เวรๆ ของ Wayne ยังแทรกมาตบกับ Wax ตลอดทั้งเล่มเช่น
เวน: ฟังนะ แผนการต่อไปนี้ที่เราจะปฏิบัติการคือแผนการกระต่ายไหม้ !
แวกซ์:กระต่ายไหม้ ? คือยังไง แกจะเผากระต่ายเป็นๆ เรอะ…
เวน: เปล่า ไม่มีกระต่ายเว้ย แต่ชั้นจะใช้แมวแทน
แวกซ์:ก็คือแกจะเผาแมวเป็นๆ ?!
เวน:ไม่ดิ ! ชั้นจะเผาตึกแล้วโยนแมวนี่ออกนอกหน้าต่าง ทำเนียนเป็นช่วยแมวงัยยย เบี่ยงเบนความสนใจคนอื่นได้
แวกซ์:เอ็งพกแมวมาถึงนี่เพื่อใช้แผนนี่ !? ..เพื่อโยนมัน-ออก-นอก-หน้า-ต่าง เนี่ยนะ !
แน่นอนว่าเมื่อ Wax ออกมาทำภารกิจกู้โลกที่เอาไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่น่าเชื่อหู Steris จึงต้องแบกสถานการณ์ในสภาแทน Wax จากแต่เดิมที่เธอคอยสนับสนุน Wax อยู่ข้างหลัง ทีนี้เธอต้องมาเป็นช้างเท้าหน้า ตัดสินใจเองอะไรเอง หนังสือจึงมีช่วงเล่าสลับฝั่งของ Steris เดี่ยวๆ ด้วย กรี๊ดดดด 😍😍
ไคลแมกซ์เล่มนี้ ค่ดยาววว คือ 40% สุดท้ายของเล่มเลย (200 จาก 500 หน้า) เล่นใหญ่สมกับเล่มจบภาคจริงๆ 55555 สงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าได้ทำเป็นหนัง มันจะต้องแบ่งเป็น Part 1, Part 2 ด้วยมั้ย เพราะกินระยะยาวมาก
ฉากสู้มันส์เช่นเคย มันมีฉากไล่ล่าฉากนึง ฉากแวกซ์ไล่รถบรรทุก ที่อ่านแล้วให้ภาพซ้อนเลวี่ vs เคนนี่ใน Attack on Titan เหวี่ยงตึกกันมันจัดๆ
และมีอีกฉากนึง ฉากไต่หอคอยเพื่อไปเผชิญหน้ากับ Telsin
ขำตอนบุกเข้าหอคอยมา
Wayne: เฮ้ย เราต้องเข้าฉากแบบเท่ๆ ชนกระจกตึกตู้มมมเข้ามาข้างในเด่ะ
Wax: อยากโดนกระจกบาดก็เชิญ ฉันฮีลตัวเองไม่ได้ แกก็แทบไม่เหลือพลังฮีลแล้ว และอีกอย่าง ประ.ตู.อยู่.ตรง.นั้น //ชี้ไปที่ประตู 😂
"One last threat."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) January 10, 2023
Wax and Wayne (Mistborn Era 2).
Artist: @/Lamaery (Tumblr). pic.twitter.com/teHYdGS4dd
โอ๊ยยย แม่ ฉากตะลุยหอคอยนี้เหมือนกลับไปดูฉาก Long Take สมัยหนังต้มยำกุ้ง จาพนม (ตัวอย่างฉาก) ตอนที่พี่แกต้องวิ่งตามบันไดขึ้นไปอัดลิ่วล้อทีละตัว เคสนี้เหมือนกันเลย Wax & Wayne ต้องไต่หอคอยเก็บเวล เอ้ย ! ไม่ใช่ ไต่หอคอย วิ่งไปหาลาสบอสเรานี่ล่ะ ทยอยอัดลิ่วล้อ หนังสือยังไม่หยุดอธิบายสังขารกรอบๆของแวกซ์ ที่เจ็บมือเลือดอาบแล้วแกก็ยังเจ็บวิ้งๆไม่หาย เฮ้อ สังขารคนเรานี่มันไม่เที่ยงจริงๆ บ่นเป็นคนแก่เลยฉัน 55555 ระหว่างทางก็ยังไปเจอ มินิบอส ร่างก็อป Wax&Wayne ในเรื่องมันเรียกตัวก็อปนี้ว่า not-Wax, not-Wayne(ไม่ใช่แวกซ์,ไม่ใช่เวน) โอ๊ย ตั้งชื่อกวนฟ่ะ 55555
แต่พอสองหน่อนี่สู้กับร่างก็อปที่มันรู้ไต๋แล้วก็เอาชนะไม่ได้หรอก ฝืนสู้ไปก็แพ้ทาง ว่าแล้วก็ใช้มุกสลับคู่สู้มันซะเลย ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนแช้ดกับอิชิดะสู้กับอารันคาร์ในเรื่องบลีชแล้วรู้ว่าเคมีไม่ตรงกันละ สลับคู่ดีกว่า พอสลับแล้วก็เริ่มสู้ได้เข้าท่าจริงเออ ชิงไหวชิงพริบกันจัดๆเลยตอนนี้
เป็นการอ่านที่ปลุกอดรีนาลีนในร่างให้พลุ่งพล่านจริงๆ 55555
ไคลแมกซ์ยิงยาวตั้งแต่ฉาก
แวกซ์ไล่ตามหาระเบิดเอย, มารศรีและแกงค์ Ghostbloods ไปเจอเหยื่อที่ถูกลักพาตัวไปอยู่พื้นที่ใต้ดินแถมโดนหลอกล้างสมองอีกว่าชีวิตบนดินมันตายไปหมดแล้ว OMG โปรเจกต์ล้างสมองกินระยะเกือบสิบปีแถมชาวบ้านพวกนี้ดันเชื่อสนิทใจจนมารศรีหว่านล้อมไม่ได้อีก ไหนจะมีโปรเจกต์ทดลองสร้างมนุษย์ Misting ด้วยการเสียบเหล็กเพื่อเติมพลังใหม่ๆให้กับหนูทดลองนั้น ๆ อีก เริ่มจะกู่ไม่กลับแล้ว
และไคลแมกซ์ตัวพีคที่ไม่ใช่ฉากสู้ดุเดือดเหมือนเล่มผ่านๆ มาแต่เป็นการถอดสลักระเบิดก่อนที่จรวดจะพุ่งเข้าใส่ตัวเมือง เอาล่ะเป็นไคลแมกซ์แข่งกับเวลาให้ชวนระทึกอีก แล้วใครจะไปยักรู้ว่าสุดท้ายผู้โชคดี Death Flag จะไปตกอยู่กับ Wayne บุคคลซึ่งมีพลังเหมาะสมในการถอดสลักนี้เพราะเป็น Slider ผู้มีพลังสร้างลูกโป่งเร่งเวลา พร้อมกับดีด Wax ลงใต้น้ำไปอีก แล้วระเบิดตู้มสวยๆ แหม่ จังหวะนี้ถ้าอยู่ในหนังแล้วใส่ดนตรีระทึกไปด้วยคงลุ้นกันเหยี่ยวเหนียวพอตัวเชียวล่ะ
ว่าแต่ว่านะ Wayne….วิญญาณแกกำลังจะไปสู่อีกหนึ่งภพภูมิแล้วแกจะถามแค่ว่า
นี่คือระเบิดที่เล่นใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยใช่ม้าาาา
แค่นี้จริงดิ…. เวนนี่มันเวนจริงๆ 555555
"One last time."
— Cosmere Picturs ⚡ (@CosmerePic) November 13, 2022
Mistborn Era 2 crew.
Artist: @/Lamaery (Tumblr). pic.twitter.com/lfFFUweh9V
ก่อนจะจบภาคนี้ มันปิดจบด้วยปัจฉิมบทที่ปาไป 7 ตอน เยอะชะมัด เป็นเส้นเรื่อง After Story ของหลายๆ ตัวละคร แถม Timeskip ต่างออกไป เช่นเป็นสัปดาห์เป็นเดือนเป็นปี มีพาร์ทที่
นี่จะไปลงล็อคกับที่นักเขียนเกริ่นไว้ว่า Mistborn ภาค 3 จะเป็น Space Opera (ลิเกอวกาศ) ถึงตอนนั้นคงเตรียมข้ามดาวกัน มียานยิงเป็นพลัง Allomancy กันได้เลย เล่นใหญ่จริงๆ 5555 ตามไทม์ไลน์ ต้องรอแบรนดอนเขียน Stormlight Archive เล่ม 5 ให้จบซึ่งเป็นช่วงจบเนื้อเรื่ององค์แรกของซีรีส์ SA ก่อนที่จะแวะกลับมาเยี่ยม Mistborn 3 และเล่มต่อของ Warbreaker, Elantris แหม่ เมก้าโปรเจกต์อลังการดาวล้านดวงจริงๆ นักเขียนคนนี้
🚨 จุดหักคะแนนของเล่ม 7
อย่างว่า เล่มนี้มันเป็นหนังสือ Cosmere ทฤษฎีหนักที่สุดในบรรดาตระกูล Mistborn ทฤษฎี Cosmere นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ ซะด้วย เหมือนอ่านทฤษฎีควอนตั้มสักอย่าง แฮ่ ยิ่งถ้าคุณไม่ได้อ่านเล่ม 6.5—The Secret History มาก่อนแล้วอ่านเล่ม 7 ก็คงงงไก่ตาแตกกับเนื้อเรื่องของ
ใครที่ตามเก็บซีรีส์อื่นมาก่อนคงสนุกในการเจอ Easter Eggs ข้ามซีรีส์กันคล้ายๆ เวลาดูหนัง Marvel แต่อีกหนึ่งข้อเสียคือเราก็ไม่อยากให้มันอิงการ Crossover เกินไปจนสูญเสียเอกลักษณ์ในการเป็นซีรีส์ยืนเดี่ยวของมัน(ความ Standalone) เพราะคงมีคนอ่านหลายท่านที่คงไม่อยากไปตามเก็บหลายๆ เล่ม บางคนก็คงอยากอ่านแค่ Mistborn ชุดเดียว แม้ The Lost Metal จะยังไม่พบปัญหาหนักในการสูญเสียความ Standalone ไปขนาดนั้น แต่เป็นหัวข้อที่แบรนดอนต้องรักษาสมดุลให้ดีในอนาคตเพราะถ้ามีจุดร่วมเยอะจนหนักไปในทาง “พึ่งพาอาศัยกันและกัน” มากเกินไป อาจทำให้ผู้อ่านจำนวนหนึ่งเหนื่อยตามซีรีส์นี้ก็เป็นได้
คะแนนหนังสือชุดภาคสอง (★★★★☆)
หนังสือชุดสี่เล่ม ทางภาษาอังกฤษจะเขียนว่า Quadrilogy แต่พอมาเป็นภาษาไทยว่าจตุภาคแล้วมันดูเป็นศัพท์ทางคณิตศาสตร์ยังไงไม่รู้สิ จึงขอเขียนว่าหนังสือชุดภาคสองละกัน 5555
✅ สรุป รีวิว หนังสือ Mistborn ภาค 2
Mistborn 2 เป็นหนึ่งซีรีส์สนุกๆ ชุดตัวละครหลักมีความโตขึ้น ไม่ใช่วัยรุ่นกู้โลกแล้วแต่เป็นตาลุงกู้โลก สังคมมีวิวัฒนาการศิวิไลซ์มากขึ้น เคมีและพลวัตตัวละครดูสนุกไหลลื่น เดอะแกงค์มีเสน่ห์มากกว่าตัวละครในคณะของนางเอกภาคแรก ลูกเล่นระบบเวทย์มนตร์แพรวพราวกว่าเดิม ปมเนื้อเรื่องดราม่าเล่นได้ถึงใจคนดูจนอ่านจบทีนั่งหงอยเป็นหมาของจริง แอ๊คชั่นดุเด็ดเผ็ดมันส์แสนอร่อยเหาะ จะเสียก็ตรงคะแนนของเล่มสุดท้ายที่อิงทฤษฎี Cosmere ซะเยอะ เพราะมันต้องเอาไปต่อยอดภาค 3 จนกลิ่นความเป็น Mistborn ถูกลดน้ำหนักลงไปและสามารถมองให้เป็นข้อด้อยได้ แต่ถึงกระนั้นแฟนๆ ตระกูล Mistborn ที่ติดอกติดใจในโลหะศาสตร์ไปแล้ว ภาคนี้เป็นอีกภาคที่คุณควรตามเก็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนงานของ Brandon Sanderson จนเริ่มโงหัวไม่ขึ้นซะแล้ว
ก่อนจบกันไป ขอปิดท้ายเพลง Space Lion ดนตรีประกอบอนิเม Cowboy Bebop มันช่างเป็นเพลงที่ชวนคูลดาวน์เหมาะสมแก่การเป็น End Credit สำหรับซีรีส์นี้จริงๆ
สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนนนนน แล้วพบกันใหม่ในภาค 3 🪐🪐🪐


ขอบคุณท่านผู้อ่านที่แวะมาอ่าน รีวิว Mistborn 2 ฉบับยาวเหยียดนี้ สำหรับใครที่อยากคุยกันต่อ ตามมาคุยกันได้ใน About Me หรือ Goodreads
แหล่งซื้อหนังสือ + บทความอื่นๆ
🪐 รีวิวผลงานอื่นๆ ของ Brandon Sanderson
📚 ซื้อหนังสือ Mistborn แบบเล่มภาคแรกภาษาไทยบน Shopee | Shop ของสำนักพิมพ์แปลไทย
📚 มีรีวิวรายเล่มของเราฉบับภาษาอังกฤษอยู่บน Goodreads ด้วยเช่นกัน เล่ม 4 | เล่ม 5| เล่ม 6 | เล่ม 7
🏀 บล็อกหัวข้อกีฬา คลิก | 📖 รีวิวBook หนังสือ |🎧 รีวิว Music ดนตรี | 📺 Anime อนิเมะ
รีวิว Mistborn 2