รีวิว Mistborn มิสบอร์น นิยาย ภาค 1 [เล่ม 1-3] ปฏิวัติแดนขี้เถ้า [คลุมสปอย]

รีวิว mistborn

🪙 เคยรีวิวนิยายของลุง Brandon Sanderson อย่าง Elantris (รีวิว), Warbreaker(รีวิว) และ Rithmatist (รีวิว) ไปแล้ว
ถึงเวลารีวิวไตรภาค High Fantasy ยุคแรกๆ ของลุงอันเลื่องชื่อ มหากาพย์แดนขี้เถ้า Mistborn (มิสบอร์น) ที่ภาคแรก—3 เล่มแรกแปลไทยโดยสำนักพิมพ์ Words Wonder Publishing

mistborn era 1 cover
ปก Mistborn ของสำนักพิมพ์ Tor ฉบับเล่มเบา
(ส่วนตัวชอบปกภาษาจีนมากกว่า)

เราอ่าน Mistborn ภาคแรกจบไปราวๆ ปี 2018-2019 (Mistborn ภาค 1 มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Mistborn Era 1)จากนั้นเราก็แยกย้ายไปอ่านนิยายเรื่องอื่นแทนจนกระทั่ง Brandon ประกาศเตรียมเขียนเล่ม 7: The Lost Metal ซึ่งเป็นเล่มจบภาค 2 และเตรียมออกในปลายปี 2022 แถมยังมีแผนเขียนภาค 3 ในเฟสถัด ๆ ไปด้วย แบ่งเฟสอลังการซะนึกว่าหนัง Marvel 5555 ทำให้เราต้องรีบไล่อ่านเล่ม 4-6 ก่อนที่เราจะถูกทิ้งห่างไปมากกว่านี้และได้ฤกษ์มาทยอยรีวิวภาคแรกให้เรียบร้อยก่อนทีจะเขียนบล็อกรีวิวภาคสองอีกทีตอนเล่ม 7 ออก

สารบัญ

วิธีการอ่านแบบหลบเลี่ยงสปอย

บทความนี้มีการคลุมสปอยบางส่วน โดยสามารถกด Popup เพื่อเปิดปิดได้
ถ้าหากผู้อ่านต้องการหลบสปอยเนื้อหาสำคัญทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย สามารถเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่มีสัญลักษณ์✅ อยู่ด้านหน้า
และสัญลักษณ์🚨 คือมีการสปอยเนื้อหาสำคัญ

หมายเหตุ เนื่องจากเราอ่านฉบับภาษาอังกฤษการเขียนทับศัพท์และคำแปลบางคำ
จึงไม่เหมือนฉบับแปลภาษาไทยทั้งหมด ⚡

เล่ม 1 —Final Empire จักรวรรดิ์สุดท้าย

ปกภาษาจีนของ Final Empire

✅ เนื้อเรื่องย่อเล่ม 1

ในโลกที่มีขี้เถ้าร่วงหล่นสู่ผืนดิน ผู้ปกครองดินแดน Luthadel (ลูธาเดล) แห่งนี้คือ Lord Ruler—ลอร์ด รูเลอร์ แปลเป็นไทยคงประมาณ เจ้าแผ่นดิน, ผู้ปกครอง ผู้มีจิตใจแสนอำมหิตปกครองโลกที่เต็มไปด้วยการแบ่งชนชั้นระหว่างเหล่าขุนนางและเหล่าชนชั้นทาสตาดำๆ ที่ถูกเรียกว่า Skaa (สกา) ความเหลื่อมล้ำนี้ใกล้ถึงขีดสุดแล้ว Kelsier (เคลเซียร์) ผู้นำคณะปฏิวัติที่ผ่านอดีตมาอย่างบอบช้ำและแบกบาดแผลเต็มแขนจะไม่ทนต่อการกดขี่อันไม่เป็นธรรมนี้อีกต่อไป เขาพร้อมจะล้มลอร์ด รูเลอร์และนำพาสันติสุขมาให้เหล่า Skaa

Kelsier แน่สักแค่ไหนล่ะจะไปล้มลอร์ด รูเลอร์ที่ปกครองมานาน? ในดินแดนแห่งนี้มีระบบเวทย์มนตร์ชื่อว่า Allomancy (ไม่แน่ใจฉบับไทยแปลอย่างไรแต่ถ้าเราแปลดิบๆ ก็คือ โลหะศาสตร์ 5555) มันคือระบบพลังที่ผู้ที่ถูกเลือกสามารถกลืนโลหะธาตุต่างๆ และแปลงคุณสมบัติธาตุเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังพิเศษเฉพาะธาตุได้ เช่น

กิน Iron (เหล็กธรรมชาติ) เพื่อใช้ดึงโลหะใกล้ตัวเข้ามา
กิน Steel (เหล็กผสมคาร์บอน) เพื่อผลักโลหะใกล้ตัวออกไป
กิน Pewter (ดีบุกผสมตะกั่ว) เพื่อเพิ่มพละกำลังกาย

โดยทั่วไปมนุษย์ผู้ถูกเลือกสามารถใช้พลังเพียงได้หนึ่งอย่างเรียกว่า Misting (มิสติ้ง) แต่หากใครแต้มบุญสูงหน่อยจะมีพลังทั้งแปด ใช้พลังได้ครบทุกแบบ คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Mistborn (มิสบอร์น) ซึ่ง Kelsier ก็คือ Mistborn ผู้ตั้งมั่นหมายจะมาโค่นลอร์ด รูเลอร์นั่นเอง ในระหว่างที่กำลังดำเนินแผนการพร้อมกับเหล่าพรรคพวกชายฉกรรจ์ เค้าได้พบเด็กสาวเร่ร่อน Vin (วิน) ที่เค้าเห็นศักยภาพแฝงว่า นี่มันบุคลากร Mistborn ชั้นเลิศนี่นา (แต่ Vin ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็น) โอกาสอันดีที่จะดึงเธอมาเสริมทัพเพื่อทำให้แผนปฏิวัติสยบลอร์ด รูเลอร์สำเร็จไปอีกขั้นมาถึงแล้ว !

allomancy glossary
สารานุกรมพลังต่างๆของการใช้พลัง Allomancy


✅ รีวิวเล่ม 1 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 1)

แก่นเรื่องของหนังสือเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวบ้านตาสีตาสาที่ถูกกดขี่จากผู้มีอำนาจ ในที่นี้ก็คือ Lord Ruler การวางเซตติ้งโลกสร้างระบบทำได้น่าสนใจละเอียดละออมีเงื่อนไขการใช้งานเช่นเคยตามแนวทางประดิษฐ์ระบบเวทย์มนตร์ของ Brandon Sanderson ซึ่งตลอดเรื่องพาไปทำความรู้จักพลังแต่ละด้านเป็นอย่างดีว่าคุณสมบัติมันวิเศษยังไง อย่างพลังผลัก/ดึง เดี่ยวๆ ก็ดูธรรมดาหาก Misting ใช้แต่พอ Mistborn ใช้ เขาสามารถนำพลังสองด้านมารวมกัน กลายเป็นว่าสามารถผลัก/ดึงเสาไฟฟ้าเพื่อช่วยเหวี่ยงตัวเองเดินทางข้ามหลังคาบ้านต่างๆ ได้ เอ๊ย เข้าใจคิด แถมยังสาธิตว่าพลังเองก็มีข้อจำกัด ไม่ใช่ว่าเอะอะผลักได้ทุกอย่าง แต่มันผลักได้เฉพาะสิ่งเบากว่าเรา ถ้าเราไปผลักรถถังเรานี่ล่ะจะกระเด็นไปข้างหลังเอาแทน ฟิสิกส์ดีมั้ย 555

เอาเข้าจริงหนังสือเดินเรื่องฉบับเรื่อยๆ มาเรียงๆ ระหว่างนั้นก็มีฉากบู๊ที่ใส่มามันหยดติ๋งสลับกับเกมส์การเมืองของแต่ละตระกูลที่ค่อยๆร้อนระอุ ไปจนถึงการฝึกวิชาของนางเอกที่ต้องเริ่มจากศูนย์ จนกระทั่งหนังสือเข้าสู่ 25% สุดท้ายของเล่มถึงจะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น ไคลแมกซ์ดุดันไม่เกรงใจใครชนิดที่ว่าเล่มหลังๆ มันจะยังพีคกว่านี้ได้อีกเหรอ แต่นั่นล่ะนะ…มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 1 จบ (สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 1)

หนังสือทยอยอธิบายระบบเวทย์มนตร์ Allomancy, การฝึกวิชาของ Vin ที่ต้องขัดปลวกตัวเองเตรียมขุนเป็นคุณหญิงกำมะลอ Valette Renoux (วาเลตต์ เรโน) เข้าไปแทรกตัวตามงานเลี้ยงต่างๆ เพื่อเล่นเกมส์การเมืองให้ความสัมพันธ์ของชนชั้นบนเตรียมแตกหัก (เป็นแผนสร้างความแตกหักภายในที่แยบยลและใช้เวลาจริงๆ คุณเคลเซียร์) นั่นจึงทำให้ทั้งเล่มมีฉากเข้างานเลี้ยงตั้งแต่ช่วงแรกที่ Vin ยังประหม่าในงานเลี้ยง จนหลังๆ เริ่มคล่องมีทักษะไปผูกมิตรเข้าสังคมเนียนขึ้นมาบ้าง เอาจริงฉากงานเลี้ยงเป็นฉากที่เนือยและเน้นพูด เราแอบเบื่อเวลาถึงฉากนี้ล่ะ 5555 แล้วงานเลี้ยงไม่ได้นานๆ จัดทีแต่จัดประจำ แป๊บๆ คืนนี้ไปจัดคฤหาสน์คนนี้ เดี๋ยวสัปดาห์หน้าอีกคนเป็นเจ้าภาพ ฟุ่มเฟือยกันจริง ส่วนเหล่า Skaa ก็อดยากกันไป…อื้มมมม 🥲

ที่ขาดไม่ได้ มันมีฉากต่อสู้เป็นช่วงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องกั๊กแบบ Rithmatist ที่อันนั้นแค่เสกชอล์กสู้กันหรือ Elantris ที่กว่าจะได้บู๊ก็เข้าปลายเรื่อง ที่นี่บู๊กันตั้งแต่ช่วงแรก Kelsier โชว์พาวหรือ Vin เริ่มฝึกหัดเข้าสนามจริง เราได้เห็นทั้งหมด คนเขียนอธิบายฉากบู๊ได้ถึงลูกถึงคน มาเป็นช็อตๆ ว่าคนนี้ต่อยแล้วตัวปลิวไปอีกฝั่งหรือหลบแล้วอัดด้วยลูกเตะ นี่อ่านบทคิวมวยปล้ำอยู่รึเปล่านะ เห็นภาพยังกะมีคนมาต่อยให้ดูตรงหน้า คล้ายกับดูหนังโรง 4DX ขาดแค่กลิ่น 5555

เราได้รู้จักตัวละครอื่นๆ ในคณะปฏิวัติไม่ว่าจะ Ham, Dockson, Breeze, Spook, Sazed (อ่านว่าเซเซทแต่เราติดเรียกเซดมานาน 5555), Marsh แฝดของ Kelsier และ OreSeur เผ่า Kandra เผ่าที่สามารถแปลงกายเป็นใครก็ได้โดยการกินกระดูกของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ เข้าไป ไหนจะ Elend (เอเลน) เด็กหนุ่มหนอนหนังสือตระกูล Venture (เวนเชอร์) ที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครและดูจะคุยถูกคอกับ Vin เวลาเจอที่ในงานเลี้ยงได้เป็นอย่างดี

องค์ที่สามของเล่มนี้

สุดท้ายท้ายสุดเนื้อเรื่องก็เหมือนจะจบปมย่อยในเล่มแรกไปได้ และไปต่อยอดในเล่มถัดไป ก็นะ…



mistborn well of ascension cover
ปกภาษาจีนของ Well of Ascension
ชื่อแปลไทยเพราะดี

เล่ม 2 —Well of Ascension บ่อพิทักษ์พลัง

🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 2 (สปอยเนื้อเรื่องในเล่ม 1)

เมื่อ Vin และผองเพื่อน

✅ รีวิวเล่ม 2 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 2)

โดยปกติหนังสือเล่มกลางของไตรภาคมักให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสะพานถ่ายทอดจากเนื้อเรื่องเล่มแรกไปสู่เล่มจบ ก็จริง เล่มนี้เป็นการประคองเนื้อเรื่องประคองปมต่างๆ เพื่อให้จบปมย่อยประจำเล่มและกรุยทางไปสู่เล่มจบ ตัวละครใหม่เปิดตัวโผล่มาเต็ม หนังสือยังคงหนักหน่วงด้วยการเมืองที่ฝั่งตัวละครธรรมะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในแนวหน้ามากขึ้น แต่ว่านะรู้สึกเคมีพระนางมันดูฝื้นฝืน เหมือนไม่รู้คนเขียนจะจับใครมาเข้าล็อคดี แกมๆ โดนคนเขียนบังคับมากกว่าอ่านแล้วธรรมชาติ ขอโทษนะ แต่รู้สึกไม่อินในความสัมพันธ์พระนางเลย 5555 ใดๆ ก็ตาม Climax เล่มนี้สนุกเวอร์วัง คนเขียนไม่กั๊กว่าใครจะอยู่ใครจะไป สเกลเรื่องและระยะทางของการศึกต่อสู้มันกินระยะกว้างมาก แถมมีเรื่องของแข่งกับเวลาที่จำกัดมาเล่น อีกทั้งต้องคอยระแวงว่าสายลับมันเป็นใคร จึงทำให้ระหว่างการอ่านเล่มนี้มันมีความลุ้นระทึกที่สลับกับความเอื่อยเวลามันปูบทเป็นระยะ 555 และเล่มนี้ก็ปิดฉากด้วยความค้างคาให้ต้องไปตามต่อเล่ม 3 เช่นเคย

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 2 จบ (สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 1-2)

เล่มนี้ยังเข้าสูตรเดิม เดินเรื่องไปอย่างช้าๆ อืดบ้างผสมกับฉากบู๊มันส์ๆ บ้าง มีตัวละครใหม่ที่ถูกแนะนำเข้ามาเรื่อยๆ มีจุดที่ไม่อินอยู่บางจุดเช่น เคมี Vin/Elend ที่เหมือนโดนคนเขียนคลุมถุงชน สถานการณ์มัดมือให้มาลงเอยกัน ดูความชอบกันและกันมันฝืนๆ บังคับมากกว่าจะชวนให้เชื่อว่ารักกันจริงซะงั้นแต่ก็นะถ้าไม่จับคู่นี้ก็ไม่รู้จะให้ Vin ไปคู่กับใครแล้ว 5555 ไหนจะมีปมเรื่อง

ลุ้นดีว่าจะไปช่วยทันมั้ย มันต้องแข่งกับเวลา เล่มนี้ล้างผลาญในเมืองกันเละกว่าเดิม คนเจ็บคนตายกันตรึม คนที่อุตส่าห์คิดว่าน่าจะรอดไปเล่มถัดไปก่อนก็ไม่รอดเฉย เซอร์ไพรส์แฮะ และเรา…

ว่าแล้วจบปมประจำเล่มนี้ตามชื่อเล่ม Well Of Ascension บ่อพิทักษ์พลัง และในที่สุดก็

ปกภาษาจีนของ Hero of Ages

เล่ม 3 —Hero of Ages ผู้กอบกู้ศักราช

🚨 เนื้อเรื่องย่อเล่ม 3 (สปอยเนื้อเรื่องในเล่ม 1-2)

หลังจาก Vin

✅ รีวิวเล่ม 3 (ไม่สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 3)

ว้าวเลยอ่ะ หลายๆ ครั้ง เราเจอหนังสือแฟนตาซีที่หยอดปมมาเยอะแยะ แถมสเกลเล่นใหญ่ไฟกระพริบสุดท้ายคุมสเกลเรื่องไม่อยู่บ้าง เรื่องปล่อยเบลอปมบ้าง แต่ Brandon แกปิดปมได้แฮะ อะไรที่ดูไม่เมคเซนส์หรือดูเป็นปริศนาธรรม มันถูกไขให้กระจ่างในเล่มนี้จนแทบต้องกลับไปวนอ่านบางส่วนของเล่มก่อนหน้าใหม่(เพราะลืม เหรอ เอ๊ย 5555) เพื่อปะติดประต่อจิ๊กซอว์บางชิ้นด้วยต่างหาก ! ไคลแมกซ์ยิงยาวมาก ยาวไม่ไหว สเกลศึกต่อสู้เหมือนดู The Lord of the Rings ภาคจบ 5555 แล้ว Brandon สามารถเขียนให้เรารู้สึกสิ้นหวังบางช่วงได้จริงๆ เพราะมันมีบางโมเมนต์ที่เฮ้ย จะแก้สถานการณ์นี้ได้ยังไง ในที่สุดหนังสือก็ขมวดปมและปิดฉากไตรภาคเรื่องนี้ได้อย่างสวยงาม สมราคา Epic Fantasy จริงๆ (คำว่าสวยของเราในที่นี้ไม่ใช่สวยฟีลกู๊ต 100% เหมือนดูละครแบบนั้น แต่หมายถึงจบแบบลงตัวและเมคเซนส์) เมื่อถึงหน้าสุดท้ายถึงกับปล่อยลมฟู่ออกมาทีนึง ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะและเพิ่งเข้าจอดเทียบท่ายังไงยังงั้น

🚨 พูดคุยหลังอ่านเล่ม 3 จบ (สปอยเนื้อเรื่องสำคัญเล่ม 1-3)

เข้าสู่เล่มสุดท้ายแล้วแม่ บอกเลยว่าประเด็นหลายๆ อย่างที่ลุง Brandon แกหยอดทิ้งไว้ก่อนหน้านี้เคลียร์ได้หมดเลยนะ ที่พิเศษคือในตอนเริ่มต้นแต่ละบท

นี่เป็นการรันไคลแมกซ์ที่ดุเดือดเผ็ดมัน นั่งอ่านในร้านกาแฟเกือบสองชั่วโมงลุกไม่ขึ้นเพราะมันติดพันจริงๆ ในที่สุดก็เลิกเนือยแล้ว 5555 (คนในร้านตอนนั้นไม่เยอะ นั่งยาวๆ ได้)

หลังจากปิดศึก รบกันเสร็จ

ไปๆ มาๆ Spook



✅ สรุป รีวิว หนังสือ Mistborn ภาค 1 (ไม่สปอย)

หากใครมองหางาน Epic Fantasy เล่นใหญ่โหมโรง การปฏิวัติการต่อสู้ของชาวบ้านตาดำๆ ที่นำไปสู่การเปิดปมหลายๆอย่างที่คาดไม่ถึงอะไร การบรรจบปมที่ชวนให้คนอ่านต้องกลับไปพลิกหน้าแรกๆ อ่านใหม่ เซตติ้งของโลกและระบบเวทย์มนตร์ที่วางไว้อย่างเป็นระบบ มีช่วงเนือยบ้าง สนุกบ้าง เป็นระยะๆ บทจะบู๊มันส์ก็ไม่อยากลุก บทจะเฉื่อย คุยเยอะ คุยในห้องงานเลี้ยงก็แทบหลับ จะขอหักคะแนนก็ตรงเคมีตัวละครพระนางที่ยังไม่อินมากเท่าไหร่เหมือนมัดมือ การดีไซน์ผองเพื่อนคณะปฏิวัติที่ไม่รู้จะเมนใครดี ไม่ชวนเชียร์เท่าไหร่ (ซะงั้น 5555) มุกบางมุกที่ใส่มาแล้วอดอิหยังวะไม่ได้ เอางี้จริงดิ รวมๆ จึงขอให้ 4 ดาวมา ณ ที่นี้

คะแนนหนังสือไตรภาคแรก (★★★★☆)


🚨 Mistborn ภาค 2 เป็นอย่างไร ? (สปอยเนื้อเรื่องภาค 1)

ปกหนังสือเสียง Mistborn ภาค 2 โดยบริษัท GraphicAudio
ปกหนังสือเสียง Mistborn ภาค 2 โดยบริษัท GraphicAudio

ผ่านภาคแรกไปแล้ว ภาคต่อมาล่ะเป็นยังไง? ภาคสองขึ้นยุคสมัยใหม่ ภาคแรกอยู่ยุคโลหะ ภาคสองกระโดดมา 300 ปีถัดมา ให้บรรยากาศยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมสตีมพังค์ที่บวกกลิ่นคาวบอย มีรถม้า เครื่องจักรไอน้ำ ปืน คล้ายๆ Avatar The Last Airbender กับ Legend of Korra ที่โลกยังคงใช้ระบบเวทย์มนตร์ Allomancy ที่มีพัฒนาการ มีคุณสมบัติหลากหลายขึ้น เปลี่ยนชุดตัวละครเดินเรื่องใหม่แม้จะมีตัวละครชุดเก่าๆ โผล่หน้ามาแจมด้วยประปราย ภาคนี้มีชื่อเล่นอีกชื่อว่า Wax & Wayne ชื่อคู่หูหลักที่เดินเรื่องในภาคนี้ (คิดว่าคนเขียนตั้งใจตั้งชื่อสองคู่หู แวกซ์ เวน เพื่อเล่นคำกับ Wax/Wane—ข้างขึ้น/ข้างแรม)

Waxillium Ladrian (แวกซิเลียม เลเดรียน) ตำรวจมือดีผู้เจอโศกนาฏกรรมจนต้องทิ้งชีวิตโลดโผนล่าผู้ร้ายมาเข้าสังคมขุนนางในเมืองใหญ่ ไม่นานนักอดีตคู่หูตัวกวน Wayne (เวน ถึงบางครั้งมันจะทำตัวชวนเวรตะไลก็ตามที 😑) ก็โผล่มาพร้อมโยนคดีชวนปวดหัวที่เชื่อว่ามีแค่ตาแวกซ์เท่านั้นที่จะไขคดีได้

ภาค 2 เป็นซีรีส์ 4 เล่มโดยเล่มสุดท้ายวางแผงในเดือนพฤศจิกายน 2022 นี้ เราอ่านไปสามเล่มแต่ก็กล้าอวยว่าชอบโทนภาคสองมากกว่าเล่มหนึ่งอีก 5555 มันดีงามแค่ไหนคงจะต้องรอให้เล่ม 4 ออกก่อนแล้วมาเขียนบทความรีวิวภาคสองอีกที

🚨 จำเป็นต้องอ่านภาค 2 ไหม ? (สปอยเนื้อเรื่องภาค 1)

ถ้าคุณไม่ใช่แฟนคลับตัวยงของ Brandon Sanderson ที่อยากตามเก็บซีรีส์หลักครบ อ่านแค่ภาคแรกก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเริ่มติดใจงานเขียนของลุงแล้วมันสมควรต้องอ่านน่ะนะ 5555 การได้สัมผัสโลก Mistborn ในเมืองปฏิวัติอุตสาหกรรมพร้อมชุดตัวละครใหม่ 5 ตัวหลักที่เห็นแล้วอมยิ้มกับเคมีที่เข้าขากันยิ่งกว่าพระนางในภาคแรก โทนเรื่องที่เพิ่มความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหลังจากที่ Vin และ Elend เป็นวัยรุ่นกู้โลก ตัวละครเก่าๆ ที่ออกมารับเชิญชวนให้หวนคิดถึง(มันก็เหลือไม่กี่ตัวหรอกนะเพราะผ่านมา 300 ปีแล้ว) ซีนอารมณ์แสนบาดใจที่อดจินตนาการไม่ได้ว่าหากมันได้ทำเป็นภาพยนตร์ นี่เป็นซีนที่เหมาะแก่การไปใส่ไว้ท้ายเครดิตอย่างมาก !

mistborn secret history cover
หนังสือเล่มพิเศษ Mistborn Secret History

🚨หนังสือเล่มพิเศษ Mistborn Secret History (สปอยเนื้อเรื่องภาค 1)

เล่มนี้เป็นเล่มพิเศษที่อิงเนื้อเรื่องจักรวาล Cosmere คอสเมียร์คือจักรวาลของนิยาย Brandon Sanderson นึกภาพง่ายๆ มันคือ Marvel Cinematic Universe ของคนเขียนท่านนี้นี่แหละ เนื้อหาบอกเล่ามุมมองที่คนอ่านไม่เคยเห็นของตัวละคร Kelsier (ภาพบนปกก็บอกอยู่ 555) และเฉลยปมเล็กๆ น้อยๆ จากเล่ม 6—The Bands of Mourning พูดถึงปูมหลังเพิ่มว่ามวลสารปริศนาในภาคแรกคืออะไร เราอ่านเล่มนี้หลังจบเล่ม 6 มึนพอตัวอยู่นะ เพราะโยนทฤษฎีจักรวาล Cosmere มาซะไม่คุ้นเลยขนาดอ่านมา 6 เล่มแล้วนะเนี่ย 5555 ยังดีที่อ่าน Elantris มาก่อนเลยพอจับจุดตัวละครที่มีบทในเล่มบางส่วนได้ และหลังอ่านเล่มนี้จบกลับกลายเป็นว่าเราไม่ชอบ

🚨 อนาคตซีรีส์ตระกูล Mistborn ต่อจากนี้ (ภาค 3-4)

ซีรีส์นี้ยังกะลูกรักลุง Brandon แกมีแผนในชีวิตว่าหลังเขียนภาค 2 จบจะเปิดทางไปภาค 3 โดยให้ภาค 3 เป็นแนวไซไฟ Space Opera (ชาวเน็ตเคยนิยามเป็นคำไทยว่ามันเท่ากับ ลิเกอวกาศ 555) จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องรีบตามอ่านเพราะกลัวลุงแซงหน้าไปไกลนี่แหละ ยัง ! ยังไม่พอ ลุงบอกเตรียมภาค 4 แต่ละเล่มให้ความยาวพอๆกับ Stormlight Archive เลย(เล่มละพันหน้า) ขอหลับก่อนนะลุง Stormlight ฉันยังไม่ทันได้เริ่มเลย 555555

ทั้งนี้ขอจบ รีวิว Mistborn ภาคแรกไว้เพียงเท่านี้ พิมพ์มายาวเฟื้อย ขอขอบคุณหากมีท่านผู้อ่านที่ตามอ่านตั้งแต่บนลงล่างจนจบครบถ้วน ยังไงก็ขอฝากบทความรีวิวจิปาถะเรื่องอื่นๆ ไว้เผื่อใครอยากติดตามเพิ่ม และถ้าใครอยากพูดคุยผลงานของ Brandon Sanderson เพิ่ม แวะมาทักทายกันได้ใน About Me หรือแอด Goodreads ได้เล้ยยยย

รีวิว Mistborn ภาค 2 (Era 2)

อัปเดตว่าเพิ่งเขียนรีวิวภาค 2 จบ มาตามอ่านกันได้เลย คลิก


ติดตามเราได้ใน goodreads | About Me

แหล่งซื้อหนังสือ + บทความอื่นๆ

📌 เริ่มอ่านนิยายแฟนตาซีของ Brandon Sanderson เริ่มยังไงดี ?

🪐 รีวิวผลงานอื่นๆ ของ Brandon Sanderson

🌈 Warbreaker หายใจเข้าหายใจออกกับแสงสีทั้งเจ็ด

🗼Elantris เจ้าชายผู้ตกอับผิวเป็นสีเทา โดนเนรเทศไปอยู่เมืองใกล้หมดลมหายใจ

📚 ซื้อหนังสือ Mistborn แบบเล่มภาษาไทยบน Shopee | Shop ของสำนักพิมพ์แปลไทย

📚 มีรีวิวรายเล่มของเราฉบับภาษาอังกฤษอยู่บน Goodreads ด้วยเช่นกัน เล่ม 1 | เล่ม 2 | เล่ม 3

🏀 บล็อกหัวข้อกีฬา คลิก | 📖 รีวิวBook หนังสือ |🎧 รีวิว Music ดนตรี | 📺 Anime อนิเมะ

Loading

GleeGM

My journal on personal life and interests including Data Analytics 📈, Books 📚, Music 🎶, Basketball 🏀, Figure Skating ⛸, Anime, Film 📺, Tarot, Lenormand, Uranian Astrology🔮

You may also like...