รีวิวหนังฉบับสั้น: All The Bright Places/Hustle/TheSchoolForGoodAndEvil/Disobedience

รีวิว all the bright places

บล็อกโพสนี้เป็นรีวิวหนังแบบสั้นๆ ที่เราเคยเขียนกระจัดกระจายตามที่ต่างๆ แล้วเอามามัดรวมในที่เดียวกัน มีทั้งหมดสี่เรื่องด้วยกัน ไม่เรียงตามลำดับปีฉาย ไปเริ่มกันเลยดีกว่า

1. All The Bright Places (2020) — Netflix

all the bright places netflix 2020

All The Bright Places ภาพยนตร์แนว Coming of Age + Mental Health ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกัน ดังนั้นจังหวะจะโคนของมันจึงไม่แปลกที่มีกลิ่นหนังสือติดออกมา แม้ตัวหนังไม่ได้หวือหวานักแต่ก็ถือว่าดูได้ดูดี มีจุดเดินเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นกันนั่นก็คือในช่วงเปิดเรื่อง เรานึกว่าตัวละครพระเอกจะเป็นตัวชูโรง (Justice Smith) ส่วนฝั่งนางเอกเป็นสายซับ (Elle Fanning) จริงๆ ทั้งสองก็สลับกันเติมกันและกันแหละ แต่สุดท้ายฝั่งนางเอกนี่แหละที่เป็นคนขมวดปมในท้ายสุด

อีกจุดในเรื่องที่อมยิ้มคือเพลง Starship – Nothing’s Gonna Stop Us Now ที่โผล่มาไม่ถึงห้าวินาที แต่เราก็อมยิ้มเพราะเคยมีโมเมนต์ สอบ Listening เพลงนี้ 5555 แล้วก็มาตามฟังเพลงเต็มๆ อีกทีทีหลัง สรุปชอบเฉย พอเพลงมันแค่ดังขึ้นมาเท่านั้นแหละ หุบยิ้มไม่ได้เลอ

ในส่วนของ Original Sountrack (OST) ไล่ฟังอัลบั้มจบแล้ว คุณจะเมาเสียงเข็มนาฬิกา เปียโน เครื่องสี ไม่ไหว เมโลดี้หลักวนอยู่ไม่กี่ตัวจนชักแยกไม่ออกว่าเพลงไหนคือเพลงไหน 55555 แต่ถึงกระนั้นตัวดนตรีก็สวยงามมากเหมาะสมตามท้องเรื่องหนังแนว Coming of Age คนสายดนตรีฟังแล้วน่าจะคันมืออยากโคเวอร์ตาม เพลงที่แนะนำคือ A Thousand Capacities

2. The School for Good and Evil (2022) — Netflix

the school for good and evil stills

หลังจากเคยรีวิวฉบับหนังสือไตรภาคแรกไปแล้วในบล็อกโพสตัวนี้ คลิกๆ เมื่อเราดูหนังตัวนี้จบทำให้นึกถึงหนัง “อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย” ของ จิม แครี่ เพราะมันนำแก่นเรื่องหลาย ๆ เล่มมายำใหม่ให้สามารถเล่าเรื่องได้ในสองชั่วโมงแทนที่จะดัดแปลงภาคละเล่ม หากดูเปล่าๆ ก็พอบันเทิงอยู่ล่ะแต่เส้นเรื่องต่างจากหนังสือพอสมควร เช่นต้นเรื่องที่เฉลยเรื่องของผู้อำนวยการโรงเรียน ในขณะที่กว่าหนังสือจะเปิดประเด็นเรื่องนี้ก็ใช้เวลาพักใหญ่ สำหรับเรายังคงแนะนำหนังสือเพราะการได้เห็นพัฒนาการตัวละครโซฟีจากเล่มแรกไปเล่มสุดท้าย(เล่ม 6) มันช่างแจ่มว้าว

ด้วยความที่มันเป็นหนังสือเขียนสำหรับ Middle Grade จึงไม่ต้องไปซีเรียสว่ามันจะมีแก่นสารปรัชญาหนักๆ เน้นดูปล่อยจอยเอามันส์มากกว่า หนังเล่าเรื่องให้จบได้ในตัวประมาณว่าถึงจะโดน Netflix ลงดาบไม่ได้ทำภาคต่อก็ไม่ซวยค้างคา แต่ก็ทิ้งปมปลายเปิดไว้เผื่อได้อนุมัติทำภาคต่อ

เราดูจบแล้วเลยผ่านเลย ไม่ได้ลุ้นภาคต่อขนาดนั้น ถ้าได้สร้างต่อก็น่าสนใจดีว่าจะยำมาใหม่แบบไหน เพราะอย่างน้อยตัวละครที่สำคัญหน่อยๆ ในการขับเคลื่อนพล๊อตหลักของเล่มสองมันหายไปแล้ว ยังไงเสียเราก็ได้ดูเนื้อเรื่องที่แตกหน่อใหม่ในหนังภาคสองอยู่ดี 5555 ส่วนของเพลงร้องไม่ติด มีน่าไปตามฟังต่อ ส่วนสกอร์แต่งโดย Theodore Shapiro ก็ให้กลิ่นอายฟุ้งๆ ตอบโจทย์หนังธีมเทพนิยาย

เคมีระหว่าง Sophie และสามสหาย Dot-Anadil-Hester ในหนังสือเป็นความสัมพันธ์ฮาเฮที่ใช้เวลาสร้างพอตัว แน่นอนว่ามันไม่พอเล่าในหนังหรอก ทั้งสามมีมิติมากกว่าจะดูเป็นลิ่วล้อบ้านๆ ติดสอยห้อยตาม Sophie แบบในหนัง แต่เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้เพราะหนังมีเวลาให้แค่สองชั่วโมง ยังไงเสีย ถ้าใครกะจะอ่านหนังสือก็แนะนำ มันคุ้มนะ 55555



3. Hustle (2022) — Netflix

hustle netflix 2022 stills

หนังบาสเนื้อเรื่อง ทีมงาน Recruit ผู้ทำหน้าที่ค้นฟ้าหานักกีฬาฉายแววจากต่างแดนมาเข้าเล่นลีก NBA เป็นเนื้อเรื่องที่นานๆจะเจอที เพราะปกติหนังบาสจะวนๆ อยู่กับโค้ชหรือนักกีฬาจอมซ่าเฮี้ยวๆ โดยรวมดูเพลินสนุกเลยแม้ช่วงท้ายจะเล่นง่ายไปนิด การได้เห็น Adam Sandler มาเล่นหนังดราม่าหรือการที่แฟนๆ NBA มาดูแล้วอมยิ้มเพราะนักกีฬารับเชิญคุ้นหน้าเต็มไปหมดทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นเดอะ(ใครเป็นแฟน 76ers นี่น่าจะได้โบนัสไปเต็มๆ) อีกทั้งนักบาสตัวแสดงหลักอย่าง Juancho Hernangomez ก็เล่นได้ดีสำหรับงานเดบิวท์ครั้งแรก และ Anthony Edwards ที่รับบทศัตรูตัวเก่งกับพระเอก ดันเล่นได้กวนบาทาแบบจับจิต 55555 จะขอแซวตรง Trae Young ที่ทำหน้าตกใจตอนพระเอกดังค์ได้เวอร์ไปหน่อย 5555

สงสัยอยู่นานว่าเอาเวลาไหนไปถ่ายหนังเรื่องนี้ เลยไปส่องตามเน็ต อ๋อออ ถ่ายกันช่วงโควิด ซึ่ง Hernangomez ตอนแรกโดนเรียกให้มาร่วมโปรเจกต์นี้ก่อนโควิดอีกแต่ก็ปฏิเสธเพราะเจ้าตัวให้ความสนใจไปที่บาสก่อนจนกระทั่งโควิดระบาดแล้วเกิดการ Lockdown เค้าก็ว่างจึงไปออดิชั่นแล้วก็ได้ร่วมแสดง

4. Disobedience (2017)

disobedience stills

หนัง Slow-burn ที่นำทัพโดยนักแสดงตัวแม่อย่าง Rachel Weisz และ Rachel McAdams เล่าเรื่องโอเคแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ Rachel Weisz ต้องเดินทางกลับมาที่บ้านเกิดในสังคมเคร่งศาสนาเนื่องจากพ่อเสียและได้เจอรักเก่า(Rachel McAdams) สองราเชลประคองทั้งเรื่องเลย ผู้ชายคนขวาในรูป (Alessandro Nivola) เคยแสดงเป็นตัวร้ายใน Face/Off ด้วย ส่วนเพลงเปิดตอน End Credit ชวนเปลี่ยนอารมณ์ไปนิด ไม่ค่อยให้ฟีล Cool Down หลังดูหนังจบเลย 5555

ตัวงานสกอร์เพลง (OST) เราชอบองค์รวมของมันนะ ฟังเพลินๆ มีความตึงและ Emotional ผสมเข้าไป แทร็คที่ชอบเป็นพิเศษคือ Alone แต่ตอนดูหนังคือไม่ค่อยรู้สึกถึงตัวเพลงเลย มันช่างกลมกลืนไปกับบรรยากาศหนังเสียกระไรนี่ 555


บทความอื่นๆ

🔑 ในที่สุดเราก็เจอ “หนังในดวงใจ” กับเค้าสักทีกับ Ice Castles (1978)

🔑 [รีวิวฉบับสั้น] หนัง Dune จากคนอ่านนิยายเล่ม 1 จบแล้วแยกย้าย

🔑 รีวิว Mistborn มิสบอร์น นิยายภาค 1 [เล่ม 1-3] ปฏิวัติแดนขี้เถ้า [คลุมสปอย]

🔑 รีวิว Fairest Domestay ที่พักกาญจนบุรี มาพักในโดมก้อนกลมรายล้อมด้วยป่ากลางเมืองกาญดีกว่า

📚 อ่านรีวิวภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ: https://gleegmjournal.com/tag/movie-series/

🏀 บล็อกหัวข้อกีฬา คลิก | 📖 รีวิวBook หนังสือ |🎧 รีวิว Music ดนตรี | 📺 Anime อนิเมะ

Loading

GleeGM

My journal on personal life and interests including Data Analytics 📈, Books 📚, Music 🎶, Basketball 🏀, Figure Skating ⛸, Anime, Film 📺, Tarot, Lenormand, Uranian Astrology🔮

You may also like...

error: Alert: Content is protected !!